
คำต่อคำ การชี้แจงของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
20 กรกฎาคม 2565
ท่านประธานที่เคารพ กระผม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขออนุญาตกราบเรียนว่า ก็เป็นไปอย่างที่ท่านผู้อภิปรายได้อภิปรายไปซะเมื่อสักครู่จริงๆ นั่นคือท่านฉายหนังเก่า ที่พูดมาทั้งหมดนั้นเกือบจะ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องที่ท่านพูดมาแล้วคราวที่แล้ว และผมก็ชี้แจงไปชัดเจนแล้ว เกือบจะเรียกว่าทั้งสิ้น เพียงแต่ท่านมาเติมตรงนี้ว่าตั้งแต่วันที่ท่านอภิปรายจนถึงวันนี้ไม่มีความคืบหน้า และผมไม่กล้าจัดการอะไรกับประธานบอร์ด ซึ่งเดี๋ยวผมจะกราบเรียนให้ท่านประธานได้ทราบว่าได้ดำเนินการอย่างไรไปบ้าง เพราะฉะนั้นที่ท่านกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง นี่คือสิ่งที่ขอเรียนเบื้องต้น แล้วท่านก็โกหกกลางสภาเมื่อสักครู่ แอบอ้างผลงาน ว่าท่านนำเรื่องไปยื่น ปปช. แล้วก็ ปปช. ไต่สวน 22 ราย มีความก้าวหน้าในคดี ปปช. อันนี้ก็โกหก ไม่จริง เพราะ ปปช. เขาไต่สวนนั้น ไม่ใช่เอาสำนวนท่านไปไต่สวน เขาไต่สวนเพราะ อคส. องค์การคลังสินค้า ไปยื่นแจ้งกับ ปปช. ให้สอบสวนคดีทุจริตเรื่องนี้แล้วก็มีความคืบหน้า และคาดว่าอาจจะมีการ มีมติชี้มูล เร็วๆ นี้ ที่สำคัญไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมเลยครับ ในแง่ที่ผมจะเป็นผู้ร่วมกระบวนการกระทำการทุจริต เพราะยังไม่เคยมีการเรียกผมไปชี้แจง กับ ปปช. ถ้าหากว่าเกี่ยวข้อง ปปช. ต้องเรียกผมไปชี้แจง อันนี้ยังไม่เคยมี นี่คือสิ่งแรกที่ขออนุญาตที่จะทำความเข้าใจเสียก่อน
ที่ท่านกล่าวหาว่ากระผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตที่ว่า ก็ไม่จริง ผมได้ชี้แจงไปตั้งแต่คราวที่แล้ว และครั้งนี้ก็ขออนุญาตที่จะยืนยัน ไม่จริงทั้งในที่ลับที่แจ้ง ไม่จริงทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และทันทีที่ทราบเรื่องก็เข้าไปบริหารจัดการมีความคืบหน้ามาเป็นลำดับซึ่งจะขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานต่อไป
ขออนุญาตที่จะเรียนชี้แจงกับท่านประธานว่า ภารกิจของ อคส. ในการที่จะต้องทวงเงินคืนจากการกระทำการทุจริตที่ อคส. จะต้องเป็นเจ้าของเรื่อง ความจริงไม่ได้มีแต่เรื่องถุงมือยาง แต่มีอย่างน้อยเงิน 3 ก้อนใหญ่ๆที่ อคส. จะต้องดำเนินการและทุกกรณีมีความคืบหน้าทั้งสิ้น
- ที่เราต้องไปทวงเงินคืนคือ 1. ทุจริตถุงมือยาง 2,000 ล้านพร้อมดอก อย่างที่ท่านอภิปราย ผมไม่ปฏิเสธว่า อคส. ต้องทำหน้าที่ แต่เดี๋ยว ผมจะเรียงลำดับความใหม่ว่าได้ทำหน้าที่ตามขั้นตอนกระบวนการมีความคืบหน้ายังไงบ้าง ที่ท่านบอกว่าผมไม่กล้าจัดการประธานบอร์ดนี่ก็ไม่จริง เดี๋ยวสุดท้ายผมทำอะไรบ้าง
- เงินก้อนที่ 2 504,861 ล้านบาท ที่ อคส. ต้องไปเรียกค่าเสียหายคืนมาจากการทุจริตจำนำข้าวสมัยพวกท่านเป็นรัฐบาล นี่ยังไม่จบเลยครับ ไม่เห็นท่านทวงเลยว่ามันช้า เพราะทุกอย่างมีขั้นตอนกระบวนการถ้าใครก็ตามไปทำอะไรนอกกฎหมาย ก็จะกลายเป็นว่ากระบวนการลงโทษ กระบวนการลงโทษนั้นผิดขั้นตอน แล้วก็จะกลายเป็นช่องว่างให้คนที่กระทำการทุจริตเอ่ยอ้างแล้วก็ลอยนวลได้ในที่สุด ต้องมานับหนึ่งกันใหม่อีก
เงินก้อนที่ 3 ที่ อคส. มีภาระจะต้องไปทวงเงินคืนคือ ทุจริตจำนำมันสำปะหลัง คู่แฝดทุจริตจำนำข้าวที่พวกท่านเป็นรัฐบาลนั่นแหละครับ ต้องไปทวงเงินคืนมาทั้งหมด 33,000 ล้าน เดี๋ยวผมจะให้รายละเอียดว่า อคส. ทำมีความคืบหน้ายังไงบ้าง
ขอเริ่มต้นเงินก้อนที่ 1 ก่อนคือเงินทุจริตถุงมือยาง 2,000 ล้านบวกดอกเบี้ย ขออนุญาตเรียนให้ทราบครับว่ากรณีทุจริตถุงมือยางที่ว่านี้ เกิดขึ้นเพราะอดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. ไปทำสัญญาขายถุงมือยาง 125,000 ล้านบาทให้กับ 7 บริษัท หลังจากนั้นก็มาทำสัญญาซื้อถุงมือยางกับบริษัทการ์เดียนโกล์ฟ 110,000 ล้านโดยประมาณ เพื่อจะได้เป็นเงื่อนไขหรือจังหวะในการเบิกเงิน อคส. ไป 2 พันล้าน อ้างว่าไปจ่ายค่ามัดจำ นี่คือที่มาที่ไป ผมขออนุญาตลำดับเหตุการณ์ให้ท่านประธานได้รับทราบว่า กระผมและ อคส. ผู้อำนวยการคนใหม่ที่เข้ามาแทนรักษาการได้ดำเนินการอะไรไปบ้าง
ประการแรกการเบิกเงินออกไปจากบัญชี 2 กันยายน 63 หลังจากนั้น 10 กันยายน 63 ผู้อำนวยการคนใหม่เข้ารับหน้าที่ ประมาณ 1 สัปดาห์ ท่านทราบเรื่องปั๊บ รายงานให้ผมทราบทันที ว่าพบเงินหายจากบัญชี 2,000 ล้านและในวันเดียวกัน ท่านนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งย้ายอดีตรักษาการผู้อำนวยการไปอยู่สำนักนายกฯ ทันที ท่านบอกว่าท่านนายกฯ ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไร ถ้าท่านละเลยคำสั่งนี้จะออกมั้ยครับ ถ้านายจุรินทร์ละเลยคำสั่งนี้จะมามั้ยครับ นี่คือประการที่ 1 ที่ขออนุญาตที่จะเรียนให้ได้เห็นภาพ
หลังจากนั้นผู้อำนวยการ อคส. ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง แล้วหลังจากนั้น 18 กันยายน ผู้อำนวยการไปแจ้งความอดีตรักษาการผู้อำนวยการกับพวก กับ DSI แล้วก็ไปแจ้งความกับ ปปง. ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและอายัดบัญชีในทันที ไม่ใช่ไม่ทำ เหมือนที่ท่านเอ่ยอ้าง
ถัดจากนั้นผู้อำนวยการ อคส. ไปแจ้งความกับ ปปช. แปลว่าทันทีที่ ปปช. รับเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และ ปปช. สอบใครก็ได้หมดแล้ว ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กจนตัวใหญ่จนถึงผู้อำนวยการจนถึงประธานบอร์ด ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีหรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี นี่คือกระบวนการที่ท่านก็ทราบดี ทำไมท่านจะไม่ทราบ หลังจากนั้นกรรมการ ปปช. มีมติอายัด บัญชี 2,000 ล้านบาท อายัดไปตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 63 แล้วก็มีความคืบหน้าในเรื่องการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ของ อคส. กรรมการสอบข้อเท็จจริงรายงานผลเสร็จ พบการกระทำผิดอันนี้สอบวินัยเจ้าหน้าที่ เพราะรักษาการผู้อำนวยการเป็นเจ้าหน้าที่ พร้อมกับผู้เกี่ยวข้องชี้มูลความผิด 3 ราย คืออดีตรักษาการ ผอ. และเจ้าหน้าที่อีก 2 ราย ผมขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ จากนั้นผู้อำนวยการ อคส. ก็ตั้งกรรมการสืบสวนต่อไปเพื่อลงโทษทางวินัยตามระเบียบเพราะถ้าไม่ทำไปตามระเบียบ เกิดย้อนแย้งขึ้นมา มีข้อโต้แย้งก็กลายเป็นโมฆะลงโทษคนกระทำความผิดไม่ได้อีก แล้วก็มาถึงจุดที่ท่านอภิปรายผมคราวที่แล้วเรื่องจบอยู่ตรงนี้วันนั้น วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 64
แต่ว่าอย่างไรก็ตามหลังจากท่านอภิปราย ทุกอย่างมีความคืบหน้าโดยลำดับครับ วันที่อภิปรายผมยืนยันกับสภาชัดเจนว่า 1. ผมไม่เคยมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวกับโครงการนี้หรือการดำเนินการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการไม่เป็นทางการ ที่ลับที่แจ้ง แล้วก็ได้ชี้ให้เห็นว่าวันนั้นท่านโกหกหลายเรื่อง เรื่องกล่าวหาว่าไม่เคยตั้งกรรมการสอบ อันนั้นก็ไม่จริงตั้งกรรมการสอบไปแล้ว กล่าวหาว่าไม่เคยมีการอายัดเงินก็ไม่จริง ปปช. อายัดเงินแล้ว เขาเป็นองค์กรอิสระที่กฎหมายรองรับ
ท่านบอกว่าไม่เคยดำเนินคดีก็ไม่จริง ส่ง ปปง. ส่ง ปปช. ซึ่งเป็นการเริ่มต้นกระบวนการยุติธรรมนับหนึ่งแล้วตั้งแต่ 23 กันยายน 63
กรณีที่ท่านกล่าวหาประธานบอร์ดว่าสนิทกับคนนั้นคนนี้ ผมได้ชี้แจงชัดเจนเหมือนคลิปที่ท่านเอามาเปิดเมื่อสักครู่นั่นแหละครับ ขอยืนยันอีกรอบนึงวันนั้นผมอภิปรายไว้ชัดเจนว่า ไม่ว่าคุณจะรู้จักใครผู้ใหญ่ขนาดไหน รู้จักนายกรัฐมนตรี รู้จักรัฐมนตรี ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีอำนาจล้นฟ้า เมื่อไหร่ที่คุณทำผิดกฎหมาย คุณก็ต้องเข้าคุก และขอบอกว่าเรื่องนี้ผมไม่ยอม ไม่ว่าใครทุจริตโครงการนี้ก็ตาม ผมจะจัดการทั้งทางวินัย แพ่ง อาญา จนถึงที่สุด ตราบเท่าที่ผมมีอำนาจหน้าที่ และกฎหมายให้อำนาจผม
นี่คือสิ่งที่ผมยืนยันผูกพันไว้กับสภาแห่งนี้แล้วก็ผมก็ได้ดำเนินการมาโดยต่อเนื่องถัดจากนี้ หลังการอภิปรายมี 3 เรื่องที่ผมจะต้องเร่งรัดดำเนินการก็คือ 1 คดีแพ่งกับอาญาผมสั่งการให้ผู้อำนวยการออกของคนใหม่ให้ความร่วมมือกับป.ป.ชในทุกเรื่องให้ความร่วมมือกับปปง. ทุกๆประการ และให้ติดตามรายงานผลถึงความคืบหน้าเป็นระยะยกเว้นสำนวนการสอบสวนซึ่งเราไปก้าวล่วงไม่ได้เขาขอเอกสารอะไรมาขอข้อมูลอะไรมาผอ.สให้หมดครับ นี่คือแป้งกับอาญา 2 วินัยคือการลงโทษเจ้าหน้าที่จะทำผิดเมื่อตั้งกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วถัดจากนี้ก็ต้องเร่งรัดการลงโทษทางวินัยและ 3 ที่ท่านพูดอยู่ในสภาตะกี้การจัดการกับผู้กระทำผิดเมื่อพบว่าใครเกี่ยวข้องให้นำเงิน 2,000 ล้านบาทบวกดอกเบี้ยมาชดใช้ค่าเสียหายนี่คือภารกิจที่ต้องดำเนินการและผลก็ได้ดำเนินการมีความคืบหน้ามาโดยลำดับในเรื่องวินัย ขออนุญาตเรียนว่าคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงสรุปผลการสอบวินัยเสร็จ ปรากฏว่าได้ชี้มูลความผิด 3 รายที่ได้สอบสวนข้อเท็จจริงมาตั้งแต่เบื้องต้นและมีมติให้ไล่ออกทั้ง 3 ราย
ผู้อำนวยการอคส.ได้ออกคำสั่งไล่ออกตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคมปลายปีที่แล้ว 2 รายแต่มามีปัญหา 1 รายยังไล่ออกไม่ได้แม้มีมติให้ไล่ออกแล้วคืออดีตรักษาการผู้อำนวยการที่ขออนุญาตกราบเรียนที่ไม่ได้เพราะว่าบังเอิญผู้อำนวยการอคส.ตั้งกรรมการสอบชี้โทษทางวินัยเสร็จบังเอิญว่าอดีตรักษาการผู้อำนวยการถูกคำสั่งย้ายไปประจำสำนักนายกก็เลยมีคำถามว่าแล้วจะลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่สำนักนายกได้หรือไม่สุดท้ายก็ได้มีการถามไปยังกฤษฎีกา กฤษฎีการตอบมาว่าอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการทางวินัยเป็นของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะกรณีนี้ไม่เคยเกิดมาก่อนจึงจำเป็นต้องถามคณะกรรมการกฤษฎีกาที่หน่วยงานหนึ่งสั่งลงโทษแต่เจ้าตัวไปสังกัดอีกหน่วยงานหนึ่ง
ท่านรองวิษณุ เครืองาม เป็นคนขอให้ถามเองครับ ขออภัยที่เอ่ยนามไม่ได้เกี่ยวข้อง ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นี่คือความชัดแจ้งเพื่อให้กระบวนการลงโทษถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกโต้แย้งวันหลัง และทำให้กลายเป็นโมฆะ คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบว่าอำนาจหน้าที่เป็นของปลัดสำนักนายก โดยให้สามารถนำผลการสอบสวนของ อคส. ที่ทำมาแล้ว ไปดำเนินการทางวินัย โดยให้ถือเป็นการสืบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้ แล้วก็ซึ่งปลัดสำนักนายกก็จะต้องตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยโดยทำตามพระราชกฤษฎีกาและระเบียบ อคส. มาใช้บังคับต่อไป แล้วหลังจากนั้นปลัดสำนักนายกก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ตามขั้นตอนกระบวนการแล้ว มีผู้ตรวจราชการ สำนักนายกฯ เป็นประธาน จบเรื่องวินัยอยู่ตรงนี้ แล้วจะต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนเรื่องละเมิด คำว่าละเมิดแปลว่าเรื่องการไปติดตามทวงเงิน 2 พันล้าน บวกดอกเบี้ยคืน ซึ่งใครกระทำความผิดหรือใครเกี่ยวข้องก็จะต้องนำเงินมาชดใช้ เพราะเงินหลวงตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้เหมือนที่พวกเราเคยได้ยินกัน สุดท้ายก็ต้องไล่เบี้ยจนมีผู้นำเงินมาชดใช้ ซึ่งอันนี้เป็นการตั้งกรรมการสอบว่าใครต้องรับผิดชอบกี่ตังค์กี่บาท ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 39 กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดทางละเมิดได้มีการแต่งตั้งโดยผู้อำนวยการ อคส. มีรองปลัดกระทรวง เป็นประธาน กระทรวงพาณิชย์ ผลการสอบออกมาแล้ว ไม่ใช่ไม่มีความคืบหน้าปล่อยให้เงิน 2,000 ล้านบาทกับดอกไม่มีอนาคต ไม่รู้ใครจะต้องเป็นผู้ชดใช้ ผลสอบออกมาแล้วว่าผู้ที่จะต้องชดใช้เงิน 2,000 ล้านบวกดอก มีด้วยกัน 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่กรรมการสอบระบุว่าเจตนาทำให้รัฐเสียหาย
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่กรรมการชี้ว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เจตนาทำให้รัฐเสียหายมี 4 ราย ต้องชดใช้คนละ 400 ล้าน กับ 800,000 บาท รวม 1,603 ล้าน 4 ราย เพราะเท่ากัน คนละ 400.8 ล้าน 1 ใน 3 รายแรกก็คือเจ้าหน้าที่ที่ถูกชี้มูลความผิดทางวินัย แล้วก็เพิ่มมาอีกคนหนึ่งคือประธานบอร์ด ที่ท่านอภิปรายตะกี้ว่า พยายามปกป้องนั่นแหละครับ แต่วันนี้ชัดเจนว่าประธานบอร์ดก็ถูกชี้ว่าเขาจะต้องรับผิดชอบ ชดใช้ความเสียหายด้วยในข้อหาเจตนาทำให้รัฐเสียหาย 400 ล้านบาทโดยประมาณ
กลุ่มที่ 2 กลุ่มประมาทเลินเล่อมี 3 ราย เจ้าหน้าที่คนที่ 1 2 3 ผมไม่เอ่ยชื่อ ต้องชดใช้คนละ 133.6 ล้านบาทรวม 400.8 ล้านบาท รวม 2 กลุ่ม เป็น 2,000 ล้านบาทบวกดอกเบี้ย และตามกระบวนการของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะต้องระบุว่าใครชดใครเท่าไหร่ ต้องไปยุติที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ชี้ขาดตามกฎหมายขณะนี้ได้ส่งเรื่องนี้ไปยังกระทรวงการคลังแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. 65
แต่ยังติดประเด็นคือประเด็นของประธานบอร์ด ไม่ใช่ใครไปโยกโย้ ใครไปช่วยเหลือ ใครไปปกป้อง แต่ติดประเด็นข้อกฎหมาย เพราะเกรงว่าถ้าไม่เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายก็จะถูกโต้แย้งเหมือนที่ผมพูด แล้วทำให้กระบวนการไม่ชอบ สุดท้ายใครรับผิดชอบค่าเสียหายก็ลอยนวล อคส. ก็แพ้ฟาล์ว แต่เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดเหตุนี้ กรณีประธานบอร์ดมีประเด็นข้อกฎหมายที่ว่าเนื่องจากผลการสอบให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นไปตามคำสั่งผู้อำนวยการ อคส. แต่ประธานบอร์ดเป็นผู้บังคับบัญชา อคส. เพราะฉะนั้นคำสั่งที่ตั้งให้สอบชี้ให้จ่าย 400 ล้านนั้น จะชอบหรือไม่ สุดท้าย อคส. ก็เลยต้องถามกฤษฎีกา
กฤษฎีกาก็ตอบมาว่า หากพบความผิดทางละเมิดของประธานบอร์ด ให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบโดยใช้กรรมการสอบชุดเดิมได้ เพื่อผลสอบจะได้ไม่เกิดความลักลั่น ท่านคงคิดในใจท่านตอนนี้ว่า แล้วนายจุรินทร์จะกล้าตั้งกรรมการสอบประธานบอร์ดเหรอ ในเมื่อท่านกล่าวหาว่าเป็นคนใกล้ชิด เป็นคนรู้จักกับคนโน้นคนนี้คนนั้น คงจะปกป้องร่วมทุจริต ไม่หรอกครับ ผู้อำนวยการ อคส. เสนอให้ผมลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิดวันที่ 30 พฤษภาคม 65 31 พฤษภาคม 65 ผมลงนามแต่งตั้งกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิดประธานบอร์ดเสร็จสิ้นแล้ว และขณะนี้ความคืบหน้าคือกรรมการได้แจ้งข้อกล่าวหาแล้วต่อประธานบอร์ดต่อไปตามกระบวนการ
ส่วนการไต่สวนของปปช. ผมทราบจากข่าว ไม่ได้ไปล้วงความลับอะไรมา เพราะเราไม่อยู่ในฐานะจะทำได้ และ ปปช. เขาก็เก็บความลับ แต่เนื่องจากสำนักข่าวอิศราระบุว่า ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปช. ท่านหนึ่งเปิดเผยว่าการไต่สวนคดีทุจริตถุงมือยางเสร็จแล้ว กำลังจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของกรรมการ ปปช. ต่อไป นี่คือความคืบหน้าทางแพ่งกับอาญา ทั้ง 3 เรื่อง แพ่ง อาญา 1. 2. วินัย 3. ละเมิดคือให้ระบุผู้เสียหายที่ต้องมาชดใช้ เพราะฉะนั้นที่ท่านกล่าวหาในญัตติว่าผมปล่อยปละละเลยไม่ติดตามแก้ไขปัญหาทุจริตเพื่อให้มีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐ หรือ อคส. จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด นี่คือสิ่งที่ขออนุญาตที่จะกราบเรียน
ในทางตรงกันข้ามกับมีความคืบหน้าในทุกกรณีตามขั้นตอนกระบวนการกฎหมาย เพราะถ้านอกกฎหมายเมื่อไหร่เป็นโมฆะเมื่อนั้น นั่นคือการสมคบเหมือน เสมือนหนึ่งสมยอมทำให้คนผิดลอยนวลในขั้นตอนสุดท้ายในที่สุด นี่คือเงินก้อนที่ 1 2,000 ล้านบวกดอก จากการทุจริตถุงมือยาง
ก้อนที่ 2 แม้ท่านไม่ได้ทวงถามความคืบหน้ากล่าวหาว่าช้า แต่เรื่องนี้ 10 ปีแล้วครับ ผมก็ทำต่อเนื่อง ทุจริตจำนำข้าวที่พวกท่านสร้างไว้ ก่อความเสียหายให้ อคส. 504,861 ล้านบาท จน อคส. ต้องฟ้องเรียกค่าเสียหาย 504,861 ล้านบาท รวมคดีกี่คดีท่านทราบไหมครับ ทั้งแพ่ง ทั้งอาญา 1,180 คดี
(ส.ส.ประเสริฐ ประท้วง)
ผมไม่ได้เอาชั่วใส่ใครหรอกครับ ถ้าชั่วจริงมันก็ต้องชั่ว การดำเนินการคดีทางกฎหมายต้องเกิดครับ เหมือนทุจริตถุงมือยาง ถ้าทุจริตจริงก็ต้องบริหารจัดการ แล้วเส้นทางการเงินที่ท่านพูดนั้น ปปช. เขาดำเนินการ ปปง. เขาก็เป็นองค์กรตามกฎหมายที่ดำเนินการ ทุกอย่างไม่ได้ถูกปล่อยปละละเลย ทำไมผมต้องชี้แจงเรื่องทุจริตจำนำข้าวด้วย ต้องชี้แจงเพราะว่าท่านเขียนไว้ในญัตติ ท่านลืมแล้วเหรอครับ ท่านเขียนไว้ในญัตติกล่าวหาผมว่ายังไง ท่านบอกว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยไม่ติดตามแก้ไขปัญหาการทุจริตเพื่อให้มีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐ หรือ อคส. ก็ผมกำลังอธิบายว่าผมติดตามความเสียหายอย่างไร และมันไม่ได้มีก้อนเดียว เฉพาะทุจริตถุงมือยาง ยังมีทุจริตจำนำข้าวอีก เงินก้อนนี้จึงเป็นสิ่งที่ อคส. ก็เป็นภารกิจที่ต้องติดตาม ขึ้นศาลอยู่ปัจจุบัน 1,180 คดี ค่าเสียหาย 5 แสนกว่าล้านบาท อคส. ต้องทุ่มเท สรรพกำลัง เวล่ำเวลาในการปฏิบัติงานไปใช้กับการดำเนินคดีที่พวกท่านก่อไว้ 10 ปีแล้วครับ คดียังอยู่ในศาลคืบหน้าไปเป็นลำดับ แต่ยังต้องใช้เวลาตามกระบวนการยุติธรรม
ก้อนที่ 3 คนอาจจะไม่ทราบ อีกก้อนหนึ่ง 30,000 กว่าล้าน ทุจริตจำนำมัน สมัยท่านเป็นรัฐบาลเหมือนกัน ผมถึงบอกก็อปปี้ทุจริตจำนำข้าวมาเลย ไม่ต้องเอ่ยแล้วครับสมัยรัฐบาลไหน พวกท่านก็แล้วกัน ทำ อคส. ขาดทุน 33,000 ล้านบาท นี่ตัวเลขวันที่ 30 กันยายน 64 อคส. ต้องทุ่มเทสรรพกำลังฟ้องอีก นี่ฟ้องไปแล้ว 164 คดี เรียกค่าเสียหาย 20,065 ล้านบาท ศาลจำคุกแล้ว 26 คดี แต่ยังไม่จบครับ ต้องเทียวไล้เทียวขือ เอาเจ้าหน้าที่หอบหิ้วกันไปขึ้นศาล เพราะสิ่งที่พวกท่านก่อไว้
แล้วผมก็สั่งเร่งรัดทั้ง 3 ก้อนไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะนี่คือหน้าที่ที่ท่านบอกว่าผมละเลยไม่สนใจติดตามไงครับ เพื่อจะบอกว่าไม่จริง ผมสนใจติดตามทั้ง 3 ก้อน เพราะนี่คือเงินของรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ต้องไปตามเอาคืนมาให้กับอคสและแผ่นดิน แล้วผมเรียนสุดท้ายเลยครับท่านประธาน ว่าจากการเอาจริงเอาจังกับ …
(ส.ส.สมคิด ประท้วง)
ผมไม่ได้พูดนอกประเด็นเลยครับ ผมตอบตามญัตติที่ท่านเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นี่คือข้อกล่าวหาที่ผูกพันรัฐสภาอย่างเป็นทางการ ที่ผมต้องชี้แจง และสุดท้ายที่ขออนุญาตที่จะกราบเรียนก็คือว่า เพราะการเอาจริงเอาจังกับการทุจริต และความโปร่งใส ของ อคส. ในยุคนี้ ทำให้คะแนนคุณธรรมและความโปร่งใสของ อคส. กระเตื้องขึ้นมาเยอะเลย ยุคท่าน ท่านไปดูสิครับ อคส. ได้ไม่ถึง 70 คะแนน พอมาปี 63 บวก 64 ปปช. เขาเป็นคนให้คะแนน ปปช. ให้คะแนนว่า อคส. มีคุณธรรมความโปร่งใส และเป็นองค์กรที่เชื่อถือได้ในเรื่องนี้ ปี 63 ได้ 83 คะแนน ระดับ A ปี 64 A เหมือนกัน แต่ได้สูงจาก 83 ไปเป็น 93.59 คะแนน นี่คือสิ่งที่ผมไม่ได้ประเมินเอง แต่ ปปช. ที่เป็นองค์กรอิสระในเรื่องการจัดการกับการทุจริต และส่งเสริมความโปร่งใส และคุณธรรม ธรรมาภิบาลในการบริหารเขาบอกมา ก็ขออนุญาตที่จะกราบเรียนให้ท่านประธานได้รับทราบ ขอบพระคุณครับ
(ชี้แจงเพิ่มเติม)
ถ้าท่านบอกว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่เห็นความคืบหน้า ผมว่าท่านหูดับแล้วละครับ เพราะทั้งหมดคือความคืบหน้าของการดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการกฎหมาย ชัดเจนทุกเรื่อง ทั้งเรื่องแพ่ง อาญา วินัย แล้วก็การหาตัวผู้กระทำผิดมาชดใช้ค่าเสียหาย 2,000 บวก ดอก ส่วนท่านจะส่ง ปปช. ไม่มีปัญหาเลยครับ ดีครับ จะได้ช่วยกันตรวจสอบการทุจริต ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ผมพร้อมให้ความร่วมมือ ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ
///////////////////////////////