คำต่อคำ “จุรินทร์” แจงกระจ่าง เงินเฟ้อไทยดีขึ้น! สินค้า-ปุ๋ยราคาลด! พืชเกษตรผลไม้ราคาดี มี “ประกันรายได้” ส่งออกสร้างประวัติศาสตร์ นำไทยจี้ทำ FTA ไล่กวดเวียดนาม

คำต่อคำ “จุรินทร์” แจงกระจ่าง เงินเฟ้อไทยดีขึ้น! โต้ไม่ได้แพงทั้งแผ่นดิน เผยสินค้า-ปุ๋ยราคาลดแล้ว! พืชเกษตร ผลไม้ราคาดีเกือบทุกตัว เพราะมี “ประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่าง” ส่งออกสร้างประวัติศาสตร์ สร้างเงินเข้าประเทศ! พร้อมนำไทยจี้ทำ FTA ไล่กวดเวียดนาม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือ เสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152

ท่านประธานที่เคารพ กระผม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ความจริง ผมตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่เมื่อกี้ รัฐบาลก็ยังมีเวลาอยู่ 1 ชั่วโมง 40 นาที โดยประมาณ ขออนุญาตที่จะกราบเรียนต่อประธาน ประเด็นที่จะขออนุญาตชี้แจงก็คือ ประเด็นที่พาดพิงในภารกิจที่ท่านนายกฯ ได้มอบหมายให้ผมได้ทำหน้าที่เฉพาะประเด็นที่จำเป็น

ประเด็นแรกก็คือ ขออนุญาตชี้แจงประเด็นที่เพื่อนสมาชิกได้พูดถึงเงินเฟ้อ แล้วก็ท่านใช้คำอีกคำหนึ่งว่าของแพงทั้งแผ่นดินซึ่งประเด็นนี้ความจริงก็เป็นประเด็นเดิม ๆ ที่เพื่อนสมาชิกบางท่านได้อภิปรายในสภามาแล้ว แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วแต่ก็ยังมีการอภิปราย เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นที่กระผมจำเป็นจะต้องชี้แจงตอบเพื่อให้เกิดความกระจ่างอีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องเงินเฟ้อ ขออนุญาตเรียนกับท่านประธานครับว่า ความจริงประเทศไทยต้องถือว่าสถานการณ์เงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ นั่นแปลว่าเงินเฟ้อลดลง ซึ่งเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากก่อนหน้านั้นเฟ้อ 6-7% ก็ลงมาเหลือ 5% และเมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ยเงินเฟ้อของโลก ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ของสถาบันทางการเงินและเศรษฐกิจที่เป็นที่เชื่อถือได้ คือ IMF คาดการณ์ว่า ปีนี้ทั้งปี คือปี 66 อัตราเฉลี่ยเงินเฟ้อของโลกจะอยู่ที่ 6.5% แต่คาดการณ์ประเทศไทยจะเฟ้อแค่ 2.8% ซึ่งอันนี้ก็เป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นชัดเจน ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อของไทยปีนี้ก็จะอยู่ในสถานะที่ดีขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส แล้วก็ต้นทุนการผลิตอื่น ๆ จะปรับลดลงในลักษณะที่ยังไม่มีนัยยะสำคัญ

แล้วก็ถ้าเราไปดูตัวเลขเปรียบเทียบกับหลายประเทศในโลกของปีนี้ที่ IMF คาดการณ์ ท่านประธานจะเห็นเลยครับว่ายกตัวอย่างเช่น สปป.ลาว IMF คาดการณ์ว่าจะเฟ้อถึง 9% สหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ 9% เยอรมนี 7.2% เม็กซิโก 6.3 อินโดฯ ใกล้บ้านเรา 5.5 อินเดีย 5.1 ฟิลิปปินส์ 4.3 เวียดนาม 3.9 เกาหลีใต้ 3.8 สหรัฐฯ ยังไปไกลถึง 3.5 แต่ประเทศไทย 2.8 เพราะฉะนั้นสถานการณ์เงินเฟ้อ ผมขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานเริ่มต้นว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ารัฐบาลรวมทั้งกระทรวงพาณิชย์และได้รับความร่วมมือจากเอกชน เราสามารถที่จะเข้าไปกำกับราคาต้นทุนการผลิตบางอย่าง และสามารถกำกับสถานการณ์ราคาสินค้าอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดีตามสมควร แม้ว่าราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส ราคาค่าไฟยังปรับลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญไม่ได้ เพราะต้นทุนอันเกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์อื่น อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ยังไม่เป็นที่ยุติ

ซึ่งสถานการณ์ราคาสินค้า ที่ผมขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานก็คือว่า ที่ท่านบอกว่าแพงทั้งแผ่นดินนั้น ความจริงถ้าไปดูตัวเลขจริง ๆ จะพบว่าราคาสินค้าที่ปรับลดลงก็มีอยู่เยอะมาก อย่างน้อย 58 รายการ ที่เราติดตามตลอดทุกวัน ราคาก็ปรับลดลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น เนื้อสัตว์ หมูเนื้อแดง ก่อนหน้านี้ท่านประธานคงเคยได้ยินพวกเราอภิปรายว่าจะไปถึงโล 300 แต่เอาเข้าจริง เดี๋ยวนี้ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศ อาจจะต่ำกว่านี้บ้าง สูงกว่านี้บ้าง อยู่ที่ 165 บาทต่อ กก. แม้บางที่อาจจะไป 160 170 180 ก็ตาม แต่นี่คือตัวเลขที่ขออนุญาตกราบเรียนให้ท่านประธานได้เห็นภาพ ผักชีที่บ่นกันก่อนหน้านี้ บอกโอ้โห แพงมโหฬาร ตอนนี้ปรับลดลงมาถึง 27% ผักกวางตุ้ง -23% ต้นหอมปรับลดลงมา 28% น้ำมันปาล์มที่บ่นกันและเพื่อนสมาชิกอภิปรายเมื่อกี้บอกไปขวดนึง 60 บาท ความจริงไม่ใช่นะครับ ตัวเลขท่านคลาดเคลื่อน นั่นมันนานมาแล้ว ก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้วครับ แต่ตอนนี้ได้ปรับลดลงมาเหลือขวดนึงตกเฉลี่ยประมาณ 48-50 บาท ปรับลดลงมา 17% อันนี้ก็คือสิ่งที่ขออนุญาตเรียน

นอกจากนั้นยังมีสินค้าอีกหลายรายการ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ปรับลด 22% เครื่องเป่าผม -22% เครื่องบดผสมอาหาร -16% Air conditioner หรือเครื่องปรับอากาศ ราคาลดลงมา 23% ตู้เย็นลงมา 6% เครื่องฟอกอากาศ 21% เหล็กเส้นลงมา 9% แม้แต่น้ำมันเตาก็ลงมา 25% ถุงพลาสติก ถุงร้อนที่เราใส่อาหารก็ลงมา 16% หน้ากากอนามัยก็ปรับลดลงมานะครับรวมทั้งชุดตรวจ atk อันนี้ปรับลดลงมา 28% ยาสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ที่ก่อนหน้านี้เป็นห่วงกัน ตอนนี้ก็ลงมาเหลือลบมา 63% ลดลงมาเยอะมาก เกิน 50% ข้าวสาลีก็ปรับลดลงมา 21% อันนี้ก็คือสิ่งที่ขออนุญาตที่จะกราบเรียนกับท่านประธาน

แม้แต่ปุ๋ยเคมี ที่ผมก็เป็นห่วงเกษตรกร เพราะก่อนหน้านี้ราคาน้ำมัน ราคาแก๊สธรรมชาติแพงมาก สูงขึ้นเยอะมาก เพราะว่าปุ๋ยทำจากแก๊สธรรมชาติ แล้วเราต้องนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ 100% เพราะฉะนั้นเมื่อปุ๋ยในตลาดโลกราคาแพงขึ้นเพราะต้นทุนการผลิตแก๊สธรรมชาติ ค่าขนส่ง น้ำมันแพง การนำเข้าปุ๋ยก็ราคาแพง แต่เราก็เข้าไปกำกับดูแล จนในที่สุดขณะนี้ปุ๋ยเคมีเราแก้ปัญหาทั้ง 2 ข้อได้ดีขึ้น คือ 1. ปุ๋ยไม่ขาดแล้วครับ เราไปนำเข้าจากซาอุดิอาระเบียมาได้หลายแสนตัน 2. ราคาตอนนี้ราคาปุ๋ยปรับลดลงมา แม้ยังไม่ลดอย่างที่เกษตรกรอยากให้ลด หรือไม่ลดอย่างรัฐบาลก็อยากให้ลดกว่านี้ แต่มันยังเป็นไปไม่ได้เพราะราคาน้ำมันก็ยังปรับลดอย่างไม่มีนัยยะสำคัญมากนัก รวมทั้งแก๊สธรรมชาติ นั่นก็คือว่า ยกตัวอย่าง ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 ตอนนี้ปรับลดลงมาประมาณ 400 บาท โดยเฉลี่ย แล้วก็ลงมาถึง 25% ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อันนี้ก็ปรับลงมา 300 กว่าบาท ลดลงมา 31% ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อันนี้ก็ลงมาร้อยกว่าบาท ก็ปรับลดลงมา 8% เป็นต้น ยา หน้ากากอนามัย ATK ก็อย่างที่ผมกราบเรียนกับท่านประธานไปแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ก็อยากจะกราบเรียนว่า ที่บอกว่ามันแพงตลอด หรือแพงทั้งแผ่นดิน ข้อเท็จจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกครับ นี่ก็คือสิ่งที่ขออนุญาตกราบเรียนให้ท่านประธานได้เห็นภาพ

ประเด็นถัดมาก็คือเรื่องที่เพื่อนสมาชิกอภิปรายเรื่อง รวมทั้งตอนเริ่มต้นด้วย แต่ว่าไม่อยากพาดพิง เอาว่าสมาชิกบางท่านก็บอกว่า พืชเกษตรตกต่ำทุกตัว ตกต่ำตลอดมา อันนี้ก็ไม่จริง ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานที่บอกว่าไม่จริงเพราะว่าราคาพืชเกษตร โดยเฉลี่ย ผมกล้าพูดว่าดีเกือบจะเรียกว่าทุกตัว โดยเฉพาะพืชเกษตรที่เราประกันรายได้

ข้าว ตอนนี้ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกแห้งนะครับ ไม่ใช่ข้าวเปลือกเปียก ถ้าเปียกมันติดน้ำไปด้วย อันนี้วัดไม่ได้ อันนี้ที่เป็นราคาทางการ ราคาเฉียดหมื่นครับ 9,000 – 9,500 10,000 ราคาทางการ อันนี้ก็ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธาน ข้าวหอมมะลิ ตอนนี้ไป 14,000 บางช่วงก็ 14,000 กว่า บางช่วงก็ไปแตะ 15,000 ก็มี ข้าวเปลือกเหนียวตอนนี้ไป 11,500 ถึง 12,500 บาทต่อตัน เพราะฉะนั้นราคาก็ต้องถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ สำหรับข้าวเปลือกแห้งมาตรฐานของทางราชการ และพี่น้องเกษตรกรก็รู้ดีว่าความชื้นต้องเท่าไหร่ คุณภาพมาตรฐานต้องเป็นขนาดไหน

มันสำปะหลังไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ ก่อนรัฐบาลนี้เข้ามาโลบาทกว่าคาอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ มาวันนี้ 3 บาทกว่าแล้วครับ มันสำปะหลังโลนึง ท่านไปถามชาวไร่มันสำปะหลังที่บ้านท่านก็ได้ 3 บาทกว่า แล้วล่าสุด ผมพาฟิลิปปินส์มาเซ็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 2 ล้านตัน ที่นครราชสีมา ที่ปากช่อง อันนี้ยิ่งช่วยให้เราสามารถระบายมันสำปะหลังไปได้ดีมาก ราคามันก็ขึ้นแล้วมีแนวโน้มว่าจะดีกว่านี้อีกครับ นี่คือสิ่งที่ขออนุญาตกราบเรียน

ปาล์มน้ำมัน แม้ว่าก่อนหน้านี้ไปแตะ 5 บาท 7 บาท 10 บาท ไปจนเกือบ 12 แล้วก็หย่อนลงมา แต่ตอนนี้ก็อยู่ที่ 5 บาท 5 บาทกว่า ก่อนรัฐบาลนี้เข้ามาท่านประธานไปดูเถอะครับ 2 บาทกว่า คาอยู่กี่ปีครับ เพราะฉะนั้นราคาพืชเกษตรจึงดีขึ้น

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สมัยก่อน 6 บาทกว่า 7 บาท เดี๋ยวนี้ 12 13 บาทแล้วครับ นี่คือราคาพืชผลการเกษตรที่รัฐบาลนี้ดำเนินการรวมทั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ด้วย ที่ขออนุญาตที่จะกราบเรียนให้ท่านประธานได้รับทราบ

ผลไม้ ยิ่งดีใหญ่ครับ ราคาเฉลี่ยปีที่แล้วทั้งปี ทุเรียนหมอนทอง เฉลี่ย 145 บาทต่อกิโลกรัม อันนี้เอาราคาหารแล้วนะครับ สูงสุด 155 160 ก็มี มังคุดเกรดส่งออก ไปถึง 61 60 บาทต่อกิโล +28.50% นี่เอาตัวเลขทางการมานั่งคิดคำนวณชัดเจน ที่สามารถพิสูจน์ได้ ลำไย ลำไยช่อส่งออกเกรด AA ไปกิโลนึงเฉลี่ย 42.50 บาท ปีที่แล้วทั้งปี ลูกร่วง AA 22.50 บาท แล้วก็ เงินที่กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และรัฐบาลได้ประสานงานไว้กับเกษตรกรผู้ปลูกลำไยที่บอกว่า เราจะช่วยดูแลเรื่องเงินชดเชยให้ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกินครัวละ 25 ไร่ ขณะนี้ผมลงนามเสนอเข้า ครม. แล้วครับ แล้วรอการพิจารณาตามขั้นตอนกระบวนการ สิ่งนี้เราไม่ลืม เกษตรกรผู้ปลูกลำไย อันนี้ก็คือสิ่งที่ขออนุญาตเรียน

เงาะโรงเรียนไปโลละ 20.50 ลองกอง 42.50 ลิ้นจี่ 75 บาท มะม่วงน้ำดอกไม้ 45 ส้มเขียวหวานไปโลนึง 25 บาท อันนี้ก็คือพืชผลการเกษตร แม้แต่หอมหัวใหญ่ ปีนี้เริ่มต้นมาได้เดือนกว่า ๆ หอมหัวใหญ่สด ไปโล 16 บาทแล้วครับ จากเมื่อก่อน 2-3 ปีที่แล้ว 8 บาทกว่า หอมแดงไปกิโล 13 บาทครับ กระเทียมโล 20 ครับ ปี 64 ไปแค่ 11.50 บาท หอมแดงแห้งไปโล 48 จาก 2-3 ปีที่แล้ว 26 บาท กระเทียมโล 79.90 คือ 78 จาก 2-3 ปีที่แล้ว 67 บาทกว่า อันนี้คือสิ่งที่ขออนุญาตกราบเรียนว่าเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน

กราบเรียนกับท่านประธานว่าราคาพืชผลการเกษตรดีเกือบจะเรียกว่าทุกตัว ยกเว้นยางครับ ยางพาราตอนนี้ราคาหย่อนลงมาจริง ตกกิโลนึงประมาณ 45 46 47 48 49 ประมาณนี้ยังไม่ถึง 60 ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผล 2 ข้อ

ข้อ 1 ก็คือว่าเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รถยนต์ขายยากขึ้น เศรษฐกิจโลกไม่ดี คนไม่มีตังค์ ก็ซื้อรถยนต์น้อยลง ยางพาราบ้านเราเอาไปผลิตยางรถยนต์ รถยนต์ขายไม่ได้ ยางรถยนต์ก็ขายยากขึ้น ราคามันก็เลยตกลงมาส่งผลให้ยางพาราราคาตก

ข้อ 2 สถานการณ์โควิดดีขึ้น ความต้องการใช้ถุงมือยางลดน้อยลงเพราะฉะนั้นทำให้ราคายางมันหย่อนลงมา แต่ไม่เป็นไร เพราะรัฐบาลนี้มีนโยบายประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง 3 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ถึง 60 สำหรับยางแผ่นดิบ และไม่ถึง 23 สำหรับยางก้อนถ้วย เราก็ชดเชยเงินส่วนต่างให้ น้ำยางประกัน 57 บาท เพราะฉะนั้น 3 ปี เราจ่ายเงินส่วนต่างให้ชาวสวนยางไป ยกเว้นปีนี้ ปีนี้ช้าหน่อยเพราะมันไปติดเพดานของมาตรา 28 ของกฎหมายว่าด้วยวินัยการคลัง แต่ตอนนี้มีช่องว่างแล้วครับ ครม.กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ ผมก็ลงนามไปแล้วตามระยะเวลาพอสมควร แต่ผมเข้าใจรัฐบาลครับ เราก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา อีกไม่นานก็จะสามารถชดเชยเงินส่วนต่างให้เกษตรกรชาวสวนยางได้ต่อไป ตามขั้นตอนกระบวนการ เหมือน 3 ปีที่ผ่านมา อันนี้ก็คือสิ่งที่ขออนุญาตที่จะเรียนให้ท่านประธานได้รับทราบ

ประเด็นถัดมาครับ เพื่อนสมาชิกวิจารณ์บอกว่า ส่งออกของไทยเริ่มถดถอย ก็ขออนุญาตเรียนว่าการส่งออกไม่ได้ถดถอยนะครับ ในทางตรงกันข้ามปีที่แล้วทั้งปี ตัวเลขการส่งออกเป็นบวกถึง 5.5% ขณะที่หลายประเทศในโลกไม่ได้บวกมากเท่าเราแล้วก็สามารถทำเงินให้ประเทศ ….

(มี ส.ส.จุลพันธ์ประท้วง)

ท่านประธานครับ ขออนุญาตกราบเรียนว่า ผมยังอยู่ในกรอบเวลานะครับ แล้วก็ข้อตกลง ท่านไม่ต้องห่วง ผมไม่พูดยืดเยื้อหรอกครับ ผมก็พูดทีละประเด็นๆ ชัดเจน แล้วเหลือไม่เยอะแล้วครับ เพื่อประหยัดเวลา ขออนุญาตกราบเรียนว่า การส่งออกนั้นไม่ได้ถดถอย ปี 65 ทั้งปี ประเทศไทยส่งออกเป็นบวก 5.5% ทำเงินเข้าประเทศถึง 9.94 ล้านล้านบาท เกือบจะแตะ 10 ล้านล้าน สูงสุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีประเทศไทยมา นี่คือการสร้างเงินให้ประเทศที่ชัดเจนที่สุดอีกครั้งหนึ่ง

แล้วก็ในปี 66 คือปีนี้ แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยเศรษฐกิจชะลอตัวบางประเทศถดถอยแต่เราก็ไม่ย่อท้อ ผมทำงานร่วมกับเอกชนกำหนดชัดเจนว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะต้องทะลวงปัญหา แล้วก็ สิ่งที่จะต้องประสบแรงเสียดทานจากการส่งออกทั้งปีอย่างไรบ้าง สุดท้ายเราได้ข้อสรุปครับ เราจะยังเดินหน้าต่อไปเพื่อทำให้ส่งออกเป็นบวก อย่างน้อยแม้หลายประเทศอาจจะติดลบ แต่ไทยต้องบวก 1-2% และแม้ตลาดสำคัญของเราหลายตลาดมีแนวโน้มถดถอยชะลอตัว แต่ยังมีบางตลาดที่เราพบว่ายังมีศักยภาพ ยังมีเงินที่จะซื้อของของเราอย่างน้อย 3 ตลาด 1. ตะวันออกกลาง 2. เอเชียใต้ คือบังคลาเทศอินเดีย เหล่านี้เป็นต้น 3. CLMV คือประเทศลาว เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม เหล่านี้เป็นต้น เราก็จะบุก 3 ตลาดนี้และตั้งเป้าว่า การบุก 3 ตลาดนี้จะทำให้เข้มข้นจะเพิ่มเงินไปจากแผนการปกติอีก 3 แสนล้านบาท เพื่อสร้างเงินให้ประเทศ

ตรงนี้จึงเป็นที่มาที่ทำไมครับผมถึงต้องไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อ 2-3 วันมานี้ นอนบนเครื่องบิน 1 คืน นอนที่โน่นคืน แล้วกลับเลย พาเอกชนไปเซ็นสัญญาจัดตั้งสภาธุรกิจไทยกับดูไบ ดูไบก็คือเมืองสำคัญของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ท่านรู้จักกันดีเพื่อที่จะให้เอกชนเขาค้าขายกันได้ ถ้ารัฐมนตรีไม่ไปนับหนึ่งให้ มันตั้งสภาธุรกิจเป็นทางการไม่ได้ แล้วผมก็ไปขายของพันกว่าล้านได้ทันที ที่สำคัญคือผมไปเป็นสักขีพยานพาสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือของประเทศไทย สมาคมโลจิสติกส์ไทย แล้วผู้ทำการขนส่งของไทยไปเซ็น MOU กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกทางด้านการขนส่ง บริษัทหนึ่งของดูไบ หรือ UAE ก็คือ DP World ซึ่งเป็นบริษัทที่เขามีเครือข่ายท่าเรือทั้งโลก 78 ท่า มีเครือข่ายสนามบิน 240 สนามบินทั้งโลก ถ้าเราเซ็นกับเขาปั๊บเราจะได้สิทธิพิเศษในการส่งสินค้าผ่านท่าเรือ 78 ท่าทั้งโลกทันที รวมทั้งสนามบิน 240 สนามบิน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างเงินให้ประเทศ เพื่อที่จะเติมตัวเลขการส่งออกให้ภาคเอกชนและรัฐบาลชุดนี้ได้นำเงินเข้าประเทศได้คล่องตัวขึ้น นี่คือสิ่งที่ทำเพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องกังวลว่าการส่งออกมันจะถดถอย เราพยายามที่จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่

สุดท้ายเรื่อง FTA ท่านบอกว่าเราตามหลังเวียดนามไม่เห็นฝุ่น ตามหลังจริงครับตอนนี้สถานการณ์ มันไม่ได้มาเป็นตอนรัฐบาลชุดนี้ เราตามหลังมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่รัฐบาลนี้กำลังไล่กวดขึ้นมาเพื่อให้ทันเวียดนาม และอนาคตผมเรียนว่าเรามีโอกาสที่จะแซงหน้าเวียดนาม ปัจจุบันประเทศไทยมี FTA กับทั้งโลก 14 ฉบับ 18 ประเทศ แต่เวียดนามเขามี 16 ฉบับ 54 ประเทศ มากกว่าเราเยอะ เรา 18 เขา 54 แต่ตรงนี้คือสิ่งที่ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานเรื่องสุดท้าย ทำไมผมต้องนำคณะไปบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากท่านนายกฯ เดินทางไปกรุยทางแล้ว ที่บรัสเซลส์ก่อนหน้านั้น ผมต้องไป ทั้งที่ต้องนอนบนเครื่องบิน 2 คืน ไปคืนนึงกลับคืนนึง อยู่วันเดียว เพื่อต้องการที่จะไปเจรจาทำ FTA ระหว่างไทยกับ EU หรือ สหภาพยุโรป ซึ่งเราค้างคามาเป็น 10 ปี แต่บัดนี้ใกล้ความจริงแล้วครับ ถ้าเราทำ FTA ไทยกับสหภาพยุโรปได้ แปลว่าอะไร สหภาพยุโรปมีสมาชิก 27 ประเทศ เราจะได้ 27 ประเทศมาบวกจาก 18 ประเทศที่เรามี กลายเป็น 45 ประเทศทันที ขณะที่เวียดนามมีเพียง 54 เราจะไล่กวดมา ขาดอีก 9 ครับ และหลังจากผมไปเจรจาขั้นสุดท้ายเราตกลงกันว่า เราจะเร่งกลับมาทำกระบวนการในประเทศของแต่ละฝ่ายให้เร็วที่สุด ผมไปพบกับรองนายกและรัฐมนตรีพาณิชย์ ตำแหน่งเดียวกับผมเลยครับของสหภาพยุโรปที่เป็นตัวแทน 27 ประเทศ เราบอกว่าเราจะทำให้เสร็จภายในไตรมาสนี้ครับ เพื่อนับหนึ่งการเจรจาทางการได้ แล้วผมก็มาเอาเข้า ครม. แล้วครับเมื่อวาน ท่านนายกก็กรุณาผ่านให้ ที่ประชุม ครม. พวกเราทุกคนเป็นผลงานร่วมกันของรัฐมนตรีทุกคนครับ เห็นชอบด้วยกัน เราผ่านของไทยแล้ว รอสหภาพยุโรปที่เขาจะไปขอคำรับรอง 27 ประเทศทางโน้นยืนยันว่าไม่นาน ถ้าเสร็จปั๊บเดี๋ยวจะมาประกาศร่วมกันว่า เราจะนับ 1 เจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป จะทำให้ไทยบวกจาก 18 ประเทศ อีก 27 เป็น 45 ไล่กวดเวียดนามที่ได้ 54 และภายในปีนี้ อีกสักประมาณปีกว่า ๆ เราจะยังจะมี FTA ไทย-ตุรกี ไทย-ศรีลังกา ไทย-ปากีสถาน อาเซียน-แคนาดา และ BIMSTEC อีก 7 ประเทศ ถ้าเราทำได้ตามนี้ภายในปี 67 เราจะแซงเวียดนามในเรื่องจำนวนประเทศที่เราทำ FTA ด้วย อันนี้ก็คือสิ่งที่ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานครับ ผมทราบเวลาน้อยก็ขอจบอย่างนี้ครับ ขอบคุณครับท่านประธานครับ