
1. ชีวิตคนธรรมดา ที่มีความหวัง ความเชื่อ “เราทำได้”
มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อนะครับ ที่ผม จากเด็กนักเรียนบ้านนอก ลูกครูอาชีวะ คุณปู่ก็เป็นชาวนา คุณตาก็มาจากเมืองจีน จะมีโอกาสเดินทาง มาถึงตรงนี้ ชีวิตผมเป็นตัวแทนครอบครัวคนไทยธรรมดา ที่ไม่ว่าเรามาจากที่ไหน พื้นฐานเช่นไร พ่อแม่เป็นใคร อะไรก็เป็นไปได้ ถ้าหากเราทุกคนมีความหวัง และมีความเชื่อ
วันนี้ ผมจึงขอเริ่มต้น เรื่องความหวัง ผมเชื่อว่าความหวังเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของทุกคน มนุษย์เกิดมาแล้ว หากไม่มีความหวัง ก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร?
แต่บ่อยครั้ง ความหวังและความเชื่อ มักถูกท้าทายด้วยความไม่เชื่อ ความไม่เชื่อที่มาจากคนอื่น มาจากสังคม จากคนรอบข้าง และมีอิทธิพลจนกระทั่ง ทำให้ตัวเราเองยังไม่เชื่อเลยตัวเองว่า เราทำได้ จริงไหม?
แต่ผมพอเข้าใจครับ เราคนไทย คนกรุงเทพ ความหวังของเราถูกท้าทาย ด้วยความไม่เชื่อ มาตลอดทั้งชีวิต ไม่เชื่อว่า ฝนตก แล้วน้ำจะไม่ท่วม เกิดมารถติด ยังไงรถมันก็ติด ฝุ่นพิษเป็นปกติของหน้าหนาว เศรษฐกิจล้าหลัง เราก็ได้แค่นี้ การศึกษาพัง ช่างมันเราไม่เกี่ยว และอาจไม่คิดหวัง ไม่เชื่อ จะมีใครแก้ปัญหาซ้ำซากนี้ได้
เพราะอะไร รู้ไหมครับ เพราะชีวิตครอบครัวคนกรุงเทพ เราถูกย่ำยี ถูกข่มขืน ทุกวัน ทุกวัน จนคุ้นชินไปแล้วว่า ยังไงเราต้องอยู่อย่างนี้ เราไม่น่าจะเปลี่ยนกรุงเทพ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนอนาคตลูกหลานของเราได้…
แต่ผมเชื่อครับ เปลี่ยนกรุงเทพ เราทำได้
แต่ทำไมผมถึงเชื่อ ถึงมีความหวัง ทุกท่านรู้ไหมครับว่า เพราะคุณพ่อคุณแม่ผม วันนี้ท่านมาให้กำลังใจผมอยู่ด้วยนะครับ
ครูอาชีวะบ้านนอกสองคน ยังมีความหวัง และความเชื่อมาทั้งชีวิต ว่าอนาคต เราเปลี่ยนได้ เราทำได้
ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่ก็มีความหวังว่า ก็อยากจะเลี้ยงลูกคนนี้ ให้ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องต่อสู้กับความไม่เชื่อมาทั้งชีวิต…
พ่อกับแม่เล่าให้ผมฟังว่า ตอนแม่ตั้งท้อง ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ มีเพื่อนเคยถามว่าอยากให้ลูกไปเรียนที่ไหน พ่อกับแม่ตอบว่า จะส่งลูกไปเรียนอเมริกา ซึ่งสายตาของเพื่อนในวันนั้นนะครับ ไม่เชื่อว่าครูอาชีวะเนี่ยจะสามารถส่งลูกไปเรียนต่างประเทศได้ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ผมมีความหวังนะครับ แล้วก็ปลูกฝังให้ลูกมีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ และที่สำคัญมีความเชื่อว่า เรา ทำ ได้
ท่านสอนให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือครับ ผมสอบมัธยม 3 ได้ที่ 1 ของโรงเรียนประจำจังหวัด ที่หนึ่งของจังหวัดระยอง พ่อกับแม่ก็มีความหวังว่าอยากให้ลูกเข้ามาเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเทพ ก็คือโรงเรียนเตรียมอุดม โดยเชื่อว่าเมื่อเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดแล้ว ลูกจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด และลูกจะมีอนาคตที่ดีที่สุด
ก็ให้ผมก็มาสอบโรงเรียนเตรียม กับเพื่อนอีก 7 คน ก่อนวันประกาศผลสอบหนึ่งวัน คุณพ่อซึ่งทราบว่า เขาจะมาแปะบอร์ดตอนเที่ยงคืน ก่อนที่จะเปิดประตูให้ผู้ปกครองที่มาจากทุกสารทิศได้เข้าไปดูผลสอบของลูกตอนเช้า คุณพ่อไม่รอนะครับ หลังจากสอนหนังสือเสร็จ นั่งรถ บขส. จากระยองมาถึงเอกมัย ต่อรถเมล์ มาเกาะรั้วโรงเรียนเตรียม
ตอนก่อนเที่ยงคืน เขาก็มาแปะบอร์ดจริงๆ คุณพ่อซึ่งตีซี้กับพี่ รปภ. หน้าโรงเรียนแล้วเนี่ยนะครับ แล้วก็บอกว่ารบกวนพี่ รปภ. ช่วยไปดูผลสอบของลูกผมด้วยนะครับ แล้วก็ให้กระดาษที่เตรียมมาที่ชื่อว่า สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พี่ รปภ. บอกได้ครับครู ด้วยความที่เห็นใจว่า ครูมาเกาะรั้วโรงเรียนตั้งแต่ตอนค่ำ
พี่รปภ. เดินเข้าไปเปิดดู สักพัก ยกมือขึ้นมา ชูห้านิ้ว พ่อมีความหวังเต็มเปี่ยม คิดว่า เอ้มันได้ที่ 5 ของประเทศไทย แต่แล้ว…มือนั้นก็โบกไปโบกมา
พ่อก็สงสัย พี่ รปภ. ก็กลับมาแล้วบอก ครูครับ ไม่มีชื่อน้องหรอกครับ พ่อบอกเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะลูกผมเรียนเก่ง กลับไปดูอีกทีนะครับ
พี่ รปภ. ท่านก็กลับไปดู ส่องไฟดู ส่องแล้วส่องอีก สักพักก็กลับมาแล้วก็บอกว่า ครูครับเสียใจด้วย น้องเขาไม่ติด พ่อผมเสียใจจริง ๆ ครับ ขึ้นรถ บขส. เที่ยวสุดท้ายที่เอกมัย มาถึงบ้านตอนรุ่งสาง มาร้องไห้กับแม่สองคน ร้องไห้ที่เอ้ไม่ได้ไปเรียนกรุงเทพ ร้องไห้เหมือนทุกอย่างมันสูญสิ้นหวัง
ความหวังมันสะดุด ผมก็เองร้องไห้ด้วยนะครับ ยังจำวันนั้นได้เลย เราทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
แต่ไฮไลท์ก็คือว่า เพื่อนอีก 7 คน สอบเข้าได้ทุกคนเลยครับ แล้วรู้นะครับว่าผู้ปกครองต่างจังหวัดเขาขี้อวดลูกขนาดไหนนะครับ แม่ไปไหนนี่ต้องก้มหน้า เพราะว่าอายที่ลูกสอบเข้าโรงเรียนเตรียมไม่ติด ผมสารภาพนะครับ ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังจนผมอายุ 30 เพราะผมอายครับ
คุณลุงผมซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียม เห็นคุณแม่เสียใจก็บอกคุณแม่ว่า เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวจะจัดการให้เข้าวิธีพิเศษ ซึ่งวิธีพิเศษนี้ไม่แปลกนะครับ ก็มันมีห้องพิเศษ ที่ทุกคนยอมรับกัน คุณลุงก็จะจัดการให้
แต่แม่บอกกับลุงว่า ถ้าชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยวิธีพิเศษ เราก็ต้องใช้วิธีพิเศษอยู่ร่ำไป สุดท้ายคุณแม่พาผมกลับมาเรียนที่ระยองวิทยาคมเหมือนเดิม…
แม้ว่า ความหวังของคุณพ่อคุณแม่ผมจะสะดุด แต่เมื่อคนเรายังมีความเชื่อไม่สิ้นสุดนี่นะครับ อะไรก็เป็นไปได้ สุดท้ายแล้วผมก็โชคดีนะครับ มาเรียน ม.4 ม.5 ม.6 ที่ระยอง เรียนไปเตะฟุตบอลไปก็สอบได้ที่หนึ่งของจังหวัด เพราะว่าคู่แข่งผมมาอยู่โรงเรียนเตรียมหมดแล้วนะครับ
วิกฤตเป็นโอกาส และผมก็ได้ทุนโควตาช้างเผือก ไม่ต้องสอบเอนทรานซ์ ได้มาเรียนที่วิศวะ ลาดกระบังมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพ สมหวังของพ่อแม่แล้วครับ เห็นมั้ยครับ เรา ทำ ได้
…
พอเข้ามาเรียนวิศวะ ลาดกระบังในปีแรกนะครับ ผมทำทุกอย่างเลย เป็นประธานนักศึกษา ทำงานชุมนุม ทำงานสโมสร เล่นกีฬา ทำทุกอย่างยกเว้นเรียนหนังสือครับ สุดท้ายแล้วผมเกือบจะถูกรีไทร์ เกรดเฉลี่ย 2.01 เท่านั้นเอง รอดพ้นการรีไทร์ในปี 1 แบบฉิวเฉียดเลย ความหวังเริ่มสะดุดอีกครั้ง
แต่ผมก็มีความเชื่อครับ เชื่อว่าผมจะกลับเนื้อกลับตัว แล้วกลับมาเรียนหนังสือให้ดีได้ ใครจะไปเชื่อล่ะครับว่า ในที่สุดโอกาสผมก็มาถึง
ระหว่างที่ผมเรียนวิศวะ ลาดกระบังนะครับ เดินทางรถติดมาก กว่าจะต่อรถเมล์ไปต่อรถไฟนะครับ บางทีรถไฟมาเร็วไปบ้าง มาช้าไปบ้าง สุดท้ายตกรถเนี่ย ต้องโหนรถเมล์ ฝ่ารถติดไปเรียนลาดกระบัง กว่าจะไปถึงมันทุกข์ทรมานมาก
ผมเริ่มคิด อยากแก้ปัญหาจราจร ในกรุงเทพ ตั้งแต่วันนั้น เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว แต่ผมไม่ได้แค่คิดเฉยๆครับ ผมลงมือทำ!
ผมทำโปรเจกต์ปี 3 และปี 4 วิศวะ ลาดกระบัง ริเริ่มทำโครงการที่วันนั้นแทบไม่มีใครเชื่อว่า “เราทำได้” คือ ออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงเทพ ตั้งแต่เรายังไม่มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ใดๆเลยในวันนั้น
ด้วยความเชื่อ และมีความหวังว่า จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพ
แต่วันนั้น คนกรุงเทพ ไม่เชื่อครับว่า เราจะสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินได้ เพราะกรุงเทพเป็นดินอ่อน ทรุดตัวง่าย อันตราย…
และยังไม่มีคนไทย จบมาทางด้านการออกแบบ และก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน ในดินอ่อน แบบกรุงเทพ มาก่อน
ผมไม่รู้จะถามใคร เรียนรู้จากใคร แต่ผมเชื่อว่า เราทำได้
ผมต้องนั่งรถเมล์ ออกจากลาดกระบังแต่เช้า ผ่านถนนอ่อนนุช ที่วันนั้นสร้างไม่เสร็จสักที เขาเรียกว่า ถนนเจ็ดชั่วโคตร โหนรถเมล์เลอะฝุ่น กว่าไปต่อรถที่ปากซอยอ่อนนุช ก่อนไปต่ออนุสาวรีย์ชัย ต่อไปเซ็นทรัลลาดพร้าว และต่อรถเมล์ไปรังสิต เพื่อไปหาหนังสือที่ AIT สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ที่มีหนังสือทางวิศวกรรมมากที่สุดในวันนั้น กว่าไปถึงก็บ่าย อ่าน ยืมหนังสือ กลับมาถึงลาดกระบังก็ค่ำ
เป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์ จนเราสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์การออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก ได้สำเร็จ
แต่ผมไม่ได้ทำโปรเจกต์นี้เล่น ๆ เพราะเชื่อมั่นว่า เราจะต้องทำให้เกิดขึ้น แก้ปัญหาจราจรให้ได้
ผมตัดสินใจ นั่งรถเมล์ไปที่เสาชิงช้า ไปเสาชิงช้าไปทำอะไรครับ ไปขอพบท่านผู้ว่ากทม.ครับ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สมัยนั้นท่านผู้ว่ากทม. คือ อาจารย์กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ไปถึงหน้าห้อง เจอเลขาท่านถามว่า น้องมาทำอะไร ผมตอบว่า มาขอพบท่านผู้ว่า กทม. เพื่อขอนำเสนอผลงานออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก เพื่อให้ท่านนำไปแก้ปัญหาการจราจรกทม.ครับ
พี่เลขางงครับ ตอบอย่างสุภาพว่า ท่านผู้ว่าภารกิจเยอะมาก คงพบน้องไม่ได้ครับ ผมตอบไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรอ ยังจำได้ ด้านล่าง หน้าห้องผู้ว่ามีเก้าอี้ไม้ยาว นั่งรอสบาย แต่วันนี้รอทั้งวัน ไม่ได้พบ…
พรุ่งนี้ผมก็มาใหม่ พี่เลขาก็ย้ำว่า คงให้น้องพบท่านผู้ว่าไม่ได้ แต่เอาอย่างนี้ พี่สัญญาจะนำผลงานของน้องไปมอบให้ท่านผู้ว่าด้วยตนเอง น้องกลับบ้านไปเถอะ ไม่ต้องรอแล้ว
เป็นท่าน ท่านกลับไหมครับ ไม่ครับ เพราะผมมีความหวัง ผมเชื่อว่า ผมต้องได้พบผู้ว่ากทม.
ผมรอได้ ผมก็นั่งรอต่อไป วันต่อมายังซื้อขนมปังสังขยา ร้านมนต์นมสด แถวศาลาว่าการไปฝากพี่เลขา ทำอย่างนี้ ไปรอแทบทุกวัน เกือบ 2 สัปดาห์ สุดท้ายพี่เลขาออกมาแล้วบอกว่า “พี่ไม่เคยเจอเด็กแบบเอ้เลย” รอจนรู้จักชื่อเล่น คือแบบว่า น้องคนนี้อึดทนมาก เอางี้ พี่จะให้เอ้พบผู้ว่าก็ได้ แต่เอ้ต้องไปพาคณบดีมาด้วย ไม่งั้นพี่จะถูกผู้ว่าดุเอา
ผมดีใจสุด ๆ รีบโหนรถเมล์กลับไปที่วิศวะ ลาดกระบัง
ชีวิตผม ตอนเรียน พึ่งพา ใช้แต่รถเมล์ เป็นผู้ว่าเมื่อไหร่ ยังไงจะต้องเปลี่ยนรถเมล์กรุงเทพ จริงไหมครับ 555
พอเข้าห้องคณบดี มองไม่เห็นท่านคณบดีครับ เพราะแฟ้มราชการกองใหญ่ บังอยู่ ท่านก้มหน้าเซ็นแฟ้ม พูดไม่มองผมว่า สุชัชวีร์ ผมงานยุ่งมาก คุณมีเรื่องอะไรว่ามา
ผมรีบพูด “ท่านคณบดีครับ ผมจะพาท่านคณบดี ไปพบผู้ว่า กทม. ครับ”
ท่านวางปากกกาทันที “ว่าไงนะ” แหวกแฟ้มมาดูหน้าผม
“ผมทำโปรเจกต์จบปี 3 ปี 4 เรื่อง การออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงเทพ จะขอให้ท่านคณบดีไปมอบให้ผู้ว่า กทม. ไปใช้แก้ปัญหารถติดครับ”
ท่านคณบดี เชื่อผม และยอมไปพบผู้ว่ากทม.กับผมครับ
ซึ่งวันนี้ท่านมาให้กำลังใจผมที่นี่ด้วยครับ พวกเราขออนุญาตปรบมือให้
ท่านอาจารย์ประกิจ ตังติสานนท์ ครับ ตอนหลังท่านมาเป็นอธิการบดีครับ ขอบคุณครับอาจารย์
เราไปถึง ในห้องของผู้ว่า กทม. เนี่ยมีผู้สื่อข่าวเต็มไปหมดเลยครับ ครั้งแรกผมก็นึกว่ามาทำข่าวผมแล้วครับ แต่ว่าไม่ใช่นะครับ ผมเป็นคิวแทรกครับ เขามีงานอยู่แล้ว ทางพี่เลขาเขาก็ใจดีมากให้มันเสร็จ ๆ ไปแหละครับ
และแล้ว ก็เกิดภาพประวัติศาสตร์ภาพนี้ครับ
จะเห็นนี่ผมอยู่ตรงกลาง นั่นเป็นสูทตัวแรกในชีวิตของผมนะครับ เลือกตัวที่ถูกที่สุดในร้าน ท่านคณบดีจับมือท่านผู้ว่า กทม. ครับ แล้วก็มอบผลงานโปรเจกต์การออกแบบรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของ กทม. ของเด็กวัย 20 ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนอนาคตผม ตั้งแต่วันนั้นครับ
หลังจากที่ท่านคณบดีมอบ ท่านผู้ว่า กทม. ก็บอกว่า ดีครับกำลังจะไปให้รองผู้ว่าฝ่ายโยธา พิจารณาว่าจะเป็นลอยฟ้าหรือใต้ดินกันดี กำลังคิดกันอยู่ตอนนั้น แล้วก็ตัดบท
แต่วินาทีนั้นเป็นวินาทีที่เปลี่ยนชีวิตผมครับ ผมรีบพูดขึ้นมาเลยนะครับ ท่านผู้ว่า กทม. ครับ ท่านผู้ว่าครับ กรุงเทพจำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อแก้ปัญหาการจราจรนะครับ
ท่านผู้ว่าหันมามองเด็กอย่างผม แล้วบอก “ใช่ ๆๆๆ ต่างประเทศเนี่ย เขาก็ทำกันมาตั้งนานแล้วนะ”
“ใช่ครับท่านผู้ว่า แต่ประเทศไทยเนี่ยยังไม่มีคนจบมาทางด้านการออกแบบก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ในดินอ่อนอย่างกรุงเทพเลยครับ” “จริงเหรอ?” ท่านผู้ว่าถาม
“ใช่ครับ” ผมจึงขออาสาท่านผู้ว่า เป็นคนไทยคนแรกที่จะไปเรียนต่างประเทศ เพื่อกลับมาสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินให้กับท่านผู้ว่า และคน กทม. ครับ
ท่านพอเดาได้ไหมครับ ท่านผู้ว่าจะถามคำถามอะไรผม ท่านถามทันทีเลยครับ แล้วคุณจะไปเรียนที่ไหนล่ะ?
ได้โอกาสผมแล้วครับ ผมบอกท่านว่า ไปเรียนที่เดียวกับท่านแหละครับ MIT !!!
พอพูดถึง MIT มหาวิทยาลัยที่ท่านผู้ว่าจบมาเนี่ย ท่านก็ไม่สนใจเวลาแล้ว ท่านมีแหวน MIT วงนี้เหมือนกัน ท่านจบทางด้านวิศวะ สถาปัตย์ ท่านเรียนหนังสือเก่งครับ เพราะมันพูดเรื่องสิ่งที่ท่านรัก ท่านภูมิใจมาก ท่านเป็นศิษย์เก่า MIT ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยนะครับ
ท่านเล่าให้ฟังว่าเข้าก็เข้ายากนะครับ เข้าได้ไม่กี่คน ในรุ่นของท่าน แต่ตอนปี 2 เพื่อน ๆ ของท่านที่มีอยู่ไม่กี่คนเนี่ย หลายคนเนี่ยไม่กินอาหารบนโต๊ะ แต่ไปคุ้ยขยะกินก็มี บ้าไปหลายคน ท่านก็หัวเราะ แต่ผมเนี่ยนอกจากไม่บ้าแล้ว ผมก็เรียนจบนะครับ ผู้สื่อข่าวก็หัวเราะ เพราะท่านมีอารมณ์ขัน ท่านก็เล่าเรื่องชีวิตที่เรียน MIT
แต่พอจังหวะที่สะดวก ผมก็พูดกับท่านผู้ว่าฯ ว่า ท่านผู้ว่าครับ ผมอยากจะไปเรียนต่อที่ MIT เหมือนท่านผู้ว่า แต่ผมจะไปได้ ผมต้องได้จดหมายรับรอง แนะนำตัวจากท่านผู้ว่านะครับ
ผมสัญญา จะกลับมาช่วย สร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงเทพ ครับ เราคนไทย ทำ ได้
ทุกท่านครับ ท่านผู้ว่าเชื่อ คำสัญญาผม ท่านผู้ว่าเขียนจดหมายแนะนำผมไปเรียน MIT ทั้งที่ท่านผู้ว่าไม่เคยรู้จักผมมาก่อน ท่านมีความเป็น “ครู” ท่านผู้ว่าเขียนจดหมายในฐานะทั้งผู้ว่า กทม. และศิษย์เก่า MIT ความประทับใจในวันนั้นผมไม่เคยลืมถึงวันนี้เลยครับ แม้ท่านจะไม่อยู่แล้ว
ผมตั้งใจว่า หากผมได้เป็นผู้ว่ากทม. จะมีความเป็นครู เหมือนท่านอาจารย์กฤษฎา ผมจะให้โอกาส สนับสนุน ส่งเสริม เด็กไทยทุกคนที่มีความหวัง และเชื่อว่า อนาคตเราเปลี่ยนได้
MIT รับผมเข้าเรียน ทั้ง ๆ ที่ เกรดเฉลี่ยหน้าแรก มีแต่ D C คะแนน TOEFL ต่ำ ท่านเชื่อไหมครับผมต้องสอบ TOEFL ถึง 14 ครั้ง กว่าผมจะผ่าน
และผมได้ทุนรัฐบาล จากภาษีประชาชน ไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวิศวกรรมอุโมงค์ที่ MITมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก
ผมเคยเล่าเรื่องนี้ ให้ท่านนายกชวน หลีกภัย ที่ผมเคารพถือ ว่าท่านคือ ครู ของผม
ท่านถามผมว่า “อาจารย์เอ้ ตอนผมเป็นนายก ก็เขียนจดหมายแนะนำให้ลูกหลานหลายคน ใช่ว่าเขาจะรับนะ” ท่านพูดถูกครับ
ผมสงสัยเรื่องนี้ แต่ไม่กล้าถาม กลัวว่า เขารับคนผิดอะครับ
จนผมสอบปริญญาเอกจบ ผมเลยถามอาจารย์ที่ปรึกษาผม Professor Herbert Einstein มือหนึ่งของโลกด้านวิศวกรรมอุโมงค์ หลานของ Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่น่าเชื่อครับ ผมภูมิใจ เราเป็นทายาทสายตรง Einstein คนเดียวในประเทศไทยครับ
Einstein นั่งนิ่ง ไม่ตอบ แล้วเดินไปค้นชั้นหนังสือ รกมาก แล้วหยิบแฟ้มของผม ซึ่งท่านต้องเก็บประวัตินักศึกษาปริญญาเอก แต่ละคนไว้ เปิดให้ผมดู
ยู เคยเขียนจดหมาย คำสัญญา Statement of Purpose กับ MIT
เพราะ ผู้สมัครทุกคน ต้องเขียนจดหมายแนะนำตนเอง แสดงเจตนารมณ์ ทำไมถึง MIT สมควรรับเรา
ผมเขียนว่า…
ตอนผมเป็นนักศึกษาที่กรุงเทพ ผมโหนรถเมล์ไปเรียนลาดกระบังไปกลับ 4 – 5 ชั่วโมง มองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ จากที่กรุงเทพ เขาเคยตั้งฉายาให้เราว่า “the Land of Smiles สยามเมืองยิ้ม”
แต่สิ่งที่ผมเห็นไม่มีรอยยิ้ม หลงเหลือกับคนกรุงเทพเลย Smiles has gone
เพราะรถมันติด คนกรุงเทพทุกข์ทรมาน แสนสาหัส ทั้งมลพิษ ใบหน้าคนกรุงเทพมีแต่ความกังวล กลัวไปส่งลูกไม่ทัน ไปทำงานไม่ทัน ทั้งสูดควันพิษทุกวัน ๆ ใครมันจะไปยิ้มได้
ผมบอกว่าในฐานะที่เป็นนักศึกษา เป็นประธานนักศึกษา เรียนวิศวะโยธา เห็นและอยากจะแก้ปัญหาของกรุงเทพ ก็คือปัญหารถติดซ้ำซาก ได้ทำโครงการวิจัยคำนวณออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก ไปมอบให้ผู้ว่ากทม. ด้วยความหวัง ไปแก้ปัญหาจราจร
ผมรู้นะว่ามหาวิทยาอันดับหนึ่งของโลก MIT มีศิษย์เก่าไปเหยียบดวงจันทร์ บัซ อัลดริน ก็ไปเหยียบดวงจันทร์เที่ยวแรก พร้อมกับนีล อาร์มสตรอง มีผู้นำโลก อย่างท่านโคฟี อันนัน เลขาธิการ UN มีอภิมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จมากมาย และมีนักวิทยาศาสตร์โนเบลไพรซ์มากที่สุดในโลก
ผม มันโนบอดี้ เห็นเกรด เห็นคะแนนภาษาอังกฤษ ของผมก็รู้ นะครับว่า ผมมันโนบอดี้ จริง ๆ
แต่ผมมี Passion มีความมุ่งมั่น ขอโอกาส ไปเรียนที่ MIT
ผมสัญญาว่า ผมจะนำความรู้ในเรื่องการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน กลับมาสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงเทพ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรของกรุงเทพ ให้ได้
และที่สำคัญ ผมขออาสาเป็น The man who brings back the land of smiles เป็นคนที่นำรอยยิ้มคืนให้กับคนกรุงเทพให้ได้
ด้วยประโยคนี้เลยครับ Prof. Einstein บอกว่า เชื่อว่า ผมทำได้
รับผมเป็นลูกศิษย์ เข้าเรียนปริญญาเอกที่ MIT
และในที่สุดผมก็ได้กลับมาประเทศไทย มาร่วมสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศไทย ตามคำสัญญา ผมภูมิใจมากครับ มีชื่อได้จารึกไว้อยู่บนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมได้ออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินลอดแม่น้ำเจ้าพระยาเส้นแรกได้สำเร็จเช่นกัน ถือเป็นความภาคภูมิใจ และทำตามคำสัญญาให้ไว้กับท่านผู้ว่ากฤษฎา และที่ให้ไว้แก่ MIT เป็นนายกวิศวกรรมสถานฯ เป็นนายกสภาวิศวกร ได้นำทีม “วิศวกรอาสา” ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน สู้น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ตึกถล่ม มานับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อผมเป็นอธิการบดี ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พามหาวิทยาลัยฝ่าวิกฤติเงิน 1,600 ล้านหาย สู่องค์กรที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุด ผมตั้งใจสร้างมหาวิทยาลัยให้เป็น เมืองที่น่าอยู่ ทันสมัย และเป็นต้นแบบ สร้างแก้มลิงแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างรถยนต์ไฟฟ้าฝีมือคนไทย สร้างเสาไฟโซลาร์เซลล์ไฮเทค สร้างโรงเรียนสาธิตต้นแบบ สร้างโรงเรียนโค้ดดิ้ง สร้างมหาวิทยาลัยระดับโลก ให้คนไทยเรียนฟรี สร้างเครื่องมือแพทย์ช่วยคนไทยสู้โควิด-19 และที่ผมภาคภูมิใจ คือ การสร้างโรงพยาบาลผู้นำด้านการรักษา และวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ ครบวงจรแห่งแรกของไทย ให้คนไทยทำ คนไทยใช้ คนไทยรอด เข้าถึงบริการสุขภาพ ที่ดีที่สุด ได้อย่างเท่าเทียมกัน
ชีวิตของผม จึงอาจเหมือนกับหลายท่าน ที่ความหวังของชีวิต ถูกท้าทายด้วย “ความไม่เชื่อ” ตั้งแต่ก่อนเราเกิด เรื่องของผม เป็นบทพิสูจน์ อาจทำให้ท่านมีความหวัง และกลับมาเชื่อว่า เราเปลี่ยนอนาคตได้
เพราะผมทำมาแล้ว เรา ทำ ได้ ครับ
2. กรุงเทพวิกฤต ถึงเวลา เราร่วมกัน “เปลี่ยนกรุงเทพ” #เราทำได้
แต่…จากวันนั้น ถึงวันนี้ 30 ปี คนกรุงเทพก็ยังยิ้มไม่ออกครับ เพราะเรายังเจอวิกฤตซ้ำซาก ทั้ง ฝนตก น้ำท่วม รถติด อากาศพิษ เศรษฐกิจเมืองล้าหลัง การศึกษาพัง ยิ่งกว่าเดิม
วันนี้ น้ำฝนรอระบาย น้ำเหนือบ่า น้ำทะเลหนุน ไม่รอคิวกันมาแล้ว มันมาพร้อมกัน และผู้เชี่ยวชาญจากทุกสำนักทั่วโลกเห็นตรงกันว่า หาก กทม. ไม่ทำอะไรวันนี้ อีก 10 – 20 ปี กรุงเทพจมน้ำ ไม่มีแผ่นดินส่งต่อให้ลูกหลานแน่ ๆ
วิกฤตน้ำเหนือท่วมปี 54 น้ำทะเลหนุนท่วมทะลักสะพานซังฮี้ คนกรุงเทพยังไม่เชื่ออีกหรือครับว่า อนาคต หากเราไม่เปลี่ยนกรุงเทพ เราไม่ฉุดกรุงเทพขึ้นมา กรุงเทพจมน้ำแน่
ไม่ต้องกังวล ถึงปัญหาปากท้อง เพราะจะไม่มีที่ทำมาหากิน ไม่มีแผ่นดินจะส่งต่อ ให้ลูกหลานในอนาคต นี่คือ ความรับผิดชอบของรุ่นเรา
วินาทีนี้ ปัญหาน้ำท่วม สำคัญที่สุด ชี้ชะตาคนกรุงเทพ แล้วครับ!!!
ดังนั้น การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเลือกผู้ว่า แต่เป็นการเลือกอนาคตกรุงเทพ อนาคตลูกหลานคนกรุงเทพ และคนไทย
ให้รู้ไปว่า ถ้าผู้ว่า กทม. เป็นวิศวกรระดับวุฒิ จบปริญญาเอกด้านดิน ด้านน้ำ เคยเป็นนายกวิศวกรรมสถานฯ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นวิศวกรดีเด่นอาเซียน เป็นวิศวกรอาสาลงพื้นที่ช่วยคนไทย มาแล้วทั่วประเทศ จะช่วยคน กทม. ไม่ได้
เราจะเปลี่ยนกรุงเทพให้รอดจากน้ำท่วม เราทำได้ครับ
ปัญหารถติด พ่อแม่ปลุกลูกตอนตีสี่ตีห้า ลูกเราต้องโตในรถ ใช้เวลามากกว่า 1 ใน 4 ของชีวิต ทรมานในรถ รถติดฆ่าความคิดสร้างสรรค์ ฆ่าจินตนาการวัยเด็ก ฆ่าอนาคตลูกหลานเรา พ่อแม่ออกเช้ากลับบ้านค่ำทุกวันเพราะรถติด จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีได้อย่างไร เราจะทนต่อไป จะไม่สู้ ไม่เปลี่ยนหรือครับ
แต่ทำไมกรุงโตเกียวที่มีความหนาแน่นของพลเมือง มากกว่ากรุงเทพสามเท่า มีประชากร 40 ล้านคนมากกว่ากรุงเทพ 3-4 เท่า ผลิตรถยนต์ได้เอง รถราคาถูก ทำไมรถไม่ติดเท่ากรุงเทพหล่ะครับ แสดงว่า เปลี่ยนกรุงเทพให้รถไม่ติดหนักขนาดนี้ เราก็ทำได้
หรือ กรุงลอนดอนที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้าน เท่ากรุงเทพ วันนี้คนขี่จักรยานไปทำงานแล้ว เราก็ทำได้ครับ
หากผมมีโอกาสเป็นผู้ว่ากทม. ท่านจะได้เห็นทางจักรยานลอยฟ้า ครั้งแรกในกทม. ให้มันรู้ไป
ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ตายจริง อยู่กับเราทุก ๆ วัน ไม่ใช่มาแค่ฤดูหนาว ลองวัดฝุ่นที่ป้ายรถเมล์ หน้าโรงเรียน หน้าโรงพยาบาล ลูกหลานเราพ่อแม่เรา ตายผ่อนส่งครับ เกิดจากความเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบของคนไม่มีกี่คน
กรุงปักกิ่งเคยเจอฝุ่นพิษหนักกว่าเรา จนแพ้การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2000 มาแล้ว แต่เขาเอาจริง วันนี้แก้ฝุ่นพิษได้แล้วครับ
และเรารู้ทั้งรู้อยู่ว่า PM2.5 ในกรุงเทพ มาจากรถบรรทุก รถเมล์ควันดำ ให้มันรู้ไป ผมจะไม่ยอมให้รถควันดำ มาทำร้ายพ่อแม่ มาฆ่าลูกหลานคนกรุงเทพอีกต่อไป
เราจะเปลี่ยนกรุงเทพให้อากาศบริสุทธิ์ เราทำได้ครับ
ปัญหาเศรษฐกิจของกรุงเทพ เมืองที่เคยมีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดในโลก เพราะประทับใจในรอยยิ้ม วันนี้ไม่เหลือรอยยิ้มแล้ว เพราะไม่มีอะไรใหม่ ไม่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมทั้งอดีตและร่วมสมัย กำลังจะกลายเป็นเมืองเฉา ที่ถูกทอดทิ้ง
คนจน ถึงคนชั้นกลางตายเรียบ คนจนไม่มีที่ ทำมาค้าขายยาก ไม่มีโอกาสเข้าถึงเศรษฐกิจยุคดิจิตอล คนชั้นกลาง รายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หาของกินราคาถูกใกล้ที่ทำงานลำบากขึ้นทุกวัน
ผมเคยทำงานให้ธนาคารโลก ศึกษาเศรษฐกิจของเมืองไทย รู้เลย เศรษฐกิจเมือง ต้องทันสมัย ไม่เช่นนั้น ไม่มีใครมาลงทุน เขาไปสิงคโปร์ ไปกัวลาลัมเปอร์ หากเศรษฐกิจเมืองยังล้าหลัง เราแข่งขันไม่ได้
ที่จริง คนไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก
เราจะเปลี่ยนเศรษฐกิจกรุงเทพให้ทันสมัย สร้างโอกาส สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจเมืองดิจิตอล และพูดถึงการศึกษา กทม. ผมแค้นที่สุดครับ คะแนนการอ่าน คะแนนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ของเด็กโรงเรียน กทม. ต่ำที่สุดในประเทศไทย ต่ำกว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับเมืองอื่น เด็กโรงเรียนสังกัดเมืองหลวง ทั้งกรุงปักกิ่ง กรุงโตเกียว กรุงโซล สิงคโปร์ ไทเป ได้คะแนนสูงลิบลิ่ว ติดอันดับโลก
ก็เลยไม่มีใครอยากส่งลูกเรียน โรงเรียน กทม. ทั้ง ๆ ที่เรียนฟรี และอยู่หน้าบ้าน ต้องกระเสือกกระสนตื่นตี 4 เสียตังค์ ส่งลูกเรียนข้ามเมือง เพราะไม่เชื่อคุณภาพโรงเรียน กทม.
และ ครูกทม. น่าเห็นใจที่สุด แทบไม่ได้รับการดูแลเลย ผมเป็นครู พ่อแม่ผมเป็นครู ผมเข้าใจดี
มีโอกาสเป็นผู้ว่ากทม.เมื่อไหร่ จะเปลี่ยนโรงเรียน กทม. พัฒนาครู ให้คนแย่งกันเข้าเรียนโรงเรียนกทม. ให้ได้ ให้มันรู้กันไป
เรา ทำ ได้ ครับ !!!
ภรรยาผม น้องแม้ว เราทำ Home School ที่บ้าน เพราะเราไม่อยากทรมานลูก ให้ลูกโตในรถ ไม่อยากให้ลูกเครียด ทนทุกข์เหมือนเรา
และเธอเชื่อว่า เราทำได้ จริงครับ ลูกเราและลูกอาจารย์ ที่ผมและน้องแม้ว รับดูแล มีการพัฒนาเร็วมาก อายุ 3 ขวบ พูด 2 ภาษาคล่องแคล่ว รู้โค้ดดิ้ง เล่นดนตรีได้ แข็งแรง อารมณ์ดี ตอนนี้ผมนำความรู้ ไปทำ โรงเรียนสาธิตอนุบาลพระจอมเกล้าลาดกระบัง และเปิดมหาวิทยาลัยเด็กเล็กแห่งแรกของอาเซียน
และผมตั้งใจให้กทม. มีโรงเรียนสาธิตทุกเขต ให้เด็กเรียน 2 ภาษา รู้โค้ดดิ้ง รู้ AI รู้ควอนตัม ผมทำมาแล้ว เราทำได้ ครับ
แต่ตอนนี้ ที่ผมเศร้า คือ กทม.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน 292 แห่ง ยังขาดการดูแลอย่างมีคุณภาพ ไม่อยากเชื่อหลายเขต ทั้ง บางกอกใหญ่ บางแค บางบอน พระนคร สัมพันธวงศ์ ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเลย แล้วอนาคตกรุงเทพจะอยู่ที่ไหน
เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เด็กกว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว
ผมขออาสา สัญญาจะดูแลลูกหลานคนกรุงเทพทุกคน เหมือนลูกผม จะเป็น ผู้ว่า การศึกษา กทม. คนแรก เราทำได้ ครับ !!!
ผมเหมือนคนกรุงเทพหลายครอบครัว ที่มีผู้สูงอายุที่บ้าน พ่อแม่ผม 85 แล้วนะครับ ต้องไปหาหมอแทบวันเว้นวัน
พ่อแม่เราต้องตื่นตีสาม ไปรับบัตรคิวตอนตีสี่ครึ่ง รอเจาะเลือดตอนเช้า ไปทานข้าวรอพบหมอช่วงบ่าย กลับบ้านเย็น หลายคนช่วยตัวเองไม่ได้ ลูกหลานต้องลางานทั้งวันไปส่ง ขาดรายได้ แต่ต้องลำบาก สู้ทน
แต่ศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน หน้าปากซอย 68 แห่งทั่วกรุงเทพ คน กทม. ส่วนใหญ่แทบไม่รู้จัก เพราะไม่ใช่ ไม่เชื่อ ไม่มีหมอ ไม่มีเครื่องมือแพทย์เพียงพอ
เรื่องนี้ผมอาสาครับ มีโอกาสเป็นผู้ว่า จะยกระดับศูนย์สาธารณสุขเป็นศูนย์การแพทย์ทันที มีหมอ มีเครื่องมือแพทย์ มีเครื่องฟอกไต ทุกศูนย์ใกล้บ้าน และยกระดับโรงพยาบาล 11 แห่งของ กทม. เป็นโรงพยาบาลผู้เชี่ยวชาญใกล้บ้าน ไม่ต้องไปแออัดที่ศิริราช จุฬา หรือ รามา
ผมสร้างโรงพยาบาลมาแล้ว ผมทำเครื่องมือแพทย์ช่วยคนไทยทั่วประเทศสู้โควิดมาแล้ว ถึงเวลามาดูแลคนกทม.
ผมขออาสาดูแล คุณพ่อคุณแม่ของคนกทม. เรา ทำ ได้ ครับ !!!
วันนี้ เรารอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลา มาร่วมกัน เปลี่ยนกรุงเทพเป็น…
เราต้องเปลี่ยนกรุงเทพเป็นเมืองสวัสดิการ ที่ดูแลพลเมืองทุกคนอย่างมีคุณภาพ ย้ำนะครับอย่างมีคุณภาพ ทั้งการจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขนส่งมวลชน ถนน ฟุตบาท ทั้งการจัดการศึกษาฟรี ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ และการดูแลรักษาพยาบาลตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงสูงอายุ ย้ำอีกครั้งนะครับอย่างมีคุณภาพ
การเข้าถึงสินค้าอาหารการกินได้ง่ายในราคาถูกและปลอดภัย เป็นเมืองที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ ทำมาหากินได้ดี เดินทางสะดวก เข้าถึงทุกพื้นที่ทุกคนเท่าเทียม มีสวนสาธารณะขนาดย่อมทั่วกรุงเทพ คนเดินได้ สัตว์เลี้ยงเดินดี ใกล้บ้าน
และที่สำคัญคือ กรุงเทพต้อง ใช้กฎหมายเท่าเทียม เข้มข้น เพื่อดูแลทุกคน เท่าเทียม
เราต้องเปลี่ยนกรุงเทพให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีและวิศวกรรม มาแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ซ้ำซาก เช่น ปัญหาน้ำท่วม รถติด ฝุ่นพิษ PM2.5 เพราะการคิดแบบเดิม ทำงานแบบเก่า หากจะแก้ปัญหาได้ คงจะแก้ได้มาหลายสิบปีแล้วจริงไหมครับ?
ผมเชื่อว่า ทีมเจ้าหน้าที่กทม. ต้องเรียนรู้ได้ พร้อมทำงานแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยี มาบริการประชาชน
เครื่องสูบน้ำของกทม.ต้องทำงานอัตโนมัติทันทีที่ฝนตก ประตูระบายน้ำต้องทำงานประสานกันด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเสี่ยงรอเจ้าหน้าที่มาเปิดปิด ที่ไม่เคยได้ผล การแก้วิกฤตน้ำท่วมในอนาคตต้องทันสมัย ใช้แก้มลิงใต้ดินแบบกรุงโตเกียว
และถึงเวลา ผนึกกำลังกับ จังหวัดปริมณฑล สมุทรปราการ สมุทรสาคร วางแผนประตูกั้นน้ำทะเลหนุนแบบเนเธอแลนด์ หรือ แบบเมืองเวนิส ถึงเราจะรอด
ระบบสัญญาณจราจร ต้องทำงานอัตโนมัติ ควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI เหมือนสิงคโปร์ โตเกียว ปักกิ่ง นิวยอร์ก ลอนดอน ไม่ต้องใช้บริการตำรวจจราจรในป้อมตำรวจ เพราะมีความแม่นยำกว่า แก้ปัญหารถติดได้เบ็ดเสร็จ
อินเทอร์เน็ตต้องฟรี ส่งเสริมการเรียนรู้ ทำมาหากิน เข้าถึงโอกาสในการค้าขายออนไลน์ และที่สำคัญ ใช้เตือนภัยพลเมือง เรื่องฝนตก น้ำท่วม และรายงานฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่อยู่เสี่ยงกันไปวัน ๆ เหมือนที่เป็นอยู่ ที่น้ำทะลักตรงสะพานซังฮี้ ไม่มีระบบเตือนภัยชาวบ้าน
ใช้พื้นที่คุ้มค่า ทั้ง 4 มิติ กว้างคูณยาวบนพื้นดิน เพิ่มพื้นที่จราจร มีทางจักรยานปลอดภัยลอยฟ้า ทำพื้นที่ใต้ดินได้ทำมาค้าขาย ทำเหมือนสิงคโปร์ โตเกียว กรุงโซล ไม่ต้องไปเบียดเบียนฟุตบาททางเดิน ที่ทุกเมืองเขาทันสมัยใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้ว
เมืองอื่นเขาทันสมัย เขาทำได้ กรุงเทพ เราก็ทำได้ เช่นกันครับ
ทุกท่านครับ คนเราเกิดมาทั้งที เราต้องกล้าฝัน ต้องเปลี่ยนกรุงเทพเป็นเมืองต้นแบบของอาเซียน นักท่องเที่ยวมาแล้วต้องมาอีก ไม่มีเบื่อ และมาแล้วจับจ่ายใช้สอยมากกว่าเดิม เหมือนคนไทยชอบไปเที่ยวกรุงโตเกียว ไปกี่ครั้งก็ไปไม่มีเบื่อ เพราะว่าเขามีเทศกาลทุกเดือน กระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง ทั้งได้สร้างความสุขแก่พลเมือง
ตอนนี้ กรุงเทพดูเฉา ๆ ไป จริงไหมครับ แล้วเราจะเปลี่ยนกรุงเทพ เป็น Bangkok City of Joys มีเทศกาลทุกเดือน
เราทำได้ ครับ
ที่กรุงโตเกียว คนแก่ คนพิการได้รับการดูแล นั่งรถเข็นก็ไปได้ทุกที่ รถเมล์ รถไฟฟ้า สะดวกปลอดภัย ต่างจากกรุงเทพตอนนี้ อย่าว่าแต่ผู้พิการเลย คนปกติยังหกล้ม รถมอเตอร์ไซค์ชนคนบนฟุตพาท รถเมล์ รถแท็กซี่ เพื่อผู้พิการก็ไม่เพียงพอ ต้องเปลี่ยนกรุงเทพให้ทุกคนเข้าถึงเท่าเทียม เป็นต้นแบบของอาเซียน
เราทำได้ ครับ
กรุงเทพมีฝุ่นพิษ PM2.5 มากที่สุด เพราะรถสาธารณะ รถขนส่ง ปล่อยควันพิษควันดำ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนกรุงเทพด้วยพลังงานสะอาด ให้เป็นต้นแบบของอาเซียน กทม.ที่มีความพร้อม เราไม่ทำก่อน แล้วรอจะให้ใครทำครับ
และ คนกรุงเทพหลายคนเชื่อเหมือนกับผมว่า วันหนึ่งกรุงเทพจะจัดงานโอลิมปิกได้ เพราะโอลิมปิกจะเปลี่ยนเมือง จากเมืองในอดีต สู่เมืองแห่งอนาคต จากเมืองที่เคยมีปัญหา สู่เมืองที่ทันสมัย เป็นเมืองต้นแบบ
ผมยกตัวอย่าง กรุงปักกิ่งโอลิมปิก เปลี่ยนอากาศพิษเป็นอากาศสะอาด กรุงโซลโอลิมปิก เปลี่ยนแม่น้ำเน่าเสีย เป็นแม่น้ำใสสะอาด กรุงโตเกียวโอลิมปิก เปลี่ยนเมืองอดีต เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่ทันสมัยขวัญใจของคนทั่วโลก แล้วกรุงเทพ โอลิมปิก 2036 จะเกิดอะไรขึ้น? ทางเดินฟุตพาทจะเรียบสนิท ผู้พิการ ผู้สูงอายุ จะเดินทางอย่างปลอดภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะเห็นสายไฟฟ้าลงดินทุกถนน ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก จะได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ อากาศจะบริสุทธิ์ไร้ PM2.5 รถยนต์รถเมล์ไฟฟ้า จะให้บริการไปได้ทุกที่
จะเปลี่ยนกรุงเทพทั้งที ต้องทำให้มันสุด จริงไหมครับ เรา ทำ ได้
3.อาสา ทำงานเป็นผู้ว่ากทม.
ทุกท่านครับ ผมเป็นหนี้คนไทย ต้องตอบแทนบุญคุณ เพราะใช้เงินภาษีประชาชนไปเรียนต่อเมืองนอก จนจบปริญญาเอกมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ได้โอกาสทำงานที่มีเกียรติ ได้โอกาสสร้างชีวิตที่ดี ได้รับเกียรติยศระดับโลก ได้เรียนรู้กับผู้นำระดับโลก
จากนี้ไป กรุงเทพต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตที่สุด แล้วถ้าเรา พอมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ช่วยได้ ทั้งผมยังหนุ่ม ยังมีพลังกาย พลังสติปัญญา เราจะนิ่งเฉยได้อย่างไร ผมจึงต้องกล้าอาสา กล้าออกมาสู้ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ ตอบแทนบุญคุณคนไทย
ผมเป็นนายกสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย จากภาษีประชาชน ก็ขอเป็นตัวอย่างให้รุ่นน้อง หนุ่มสาวนักเรียนทุนคนรุ่นใหม่ทุกคน ที่มีทั้งความรู้ มีความสามารถ และเป็นคนดี
ต้องกล้าเสียสละ กล้าก้าวออกมาจากพื้นที่สบายตน เพื่อออกมาทำงานที่ยาก ที่ท้าทาย เพื่อตอบแทนสังคมไทย
ที่สำคัญ ผู้ว่ากทม. คือ พ่อบ้าน และ นายช่างใหญ่ ในคนเดียวกัน ต้องใช้ทักษะ ประสบการณ์ รอบด้านกว่างานใด ๆ
ทำให้ตลอด 30 ปีเต็ม ผมได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์ ได้ทำงานจริงในทุกมิติของการแก้ปัญหาและพัฒนากรุงเทพ
และ ตลอด 30 ปี ผมได้แสวงหาวิธีการแก้ปัญหาของกรุงเทพ จากเมืองทั่วโลก ได้ไปพบผู้ว่ากรุงโตเกียว เพื่อศึกษาวิธีการแก้ปัญหา นำมาพัฒนากรุงเทพ
ขอโอกาส ได้ใช้พลังความรู้ ประสบการณ์ทั้งหมด ทุกด้าน เปลี่ยนกรุงเทพ เราทำได้ ครับ และผมแม้จะเกิดที่ชลบุรี เรียนที่ระยอง แต่เป็นคนกรุงเทพ มีชีวิตอยู่ที่นี่ มีครอบครัวที่ ที่ต้องทนทุกข์กับปัญหาซ้ำซาก เหมือนท่านทุกคน
ผมจึงขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ที่เราพ่อ เป็นแม่ ที่รักและห่วงลูก
ผมขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ที่เราเป็นลูกคนหนึ่ง มีพ่อแม่สูงอายุ ต้องดูแล
ผมขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ที่เราต้องทำงานหนัก ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
และผมขอเป็นตัวแทน เด็กรุ่นใหม่ ลูกหลานคนกรุงเทพ ที่ต้องมีอนาคต และที่กำลังต้องเจอ วิกฤตกรุงเทพกำลังจะจมน้ำ ลูกหลานจะไม่มีพื้นดินอยู่อาศัย ทำมาหากินได้ในวันข้างหน้า
วันนี้ วินาทีนี้
ผม เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
ผมตั้งใจ ผมเตรียมพร้อมมา 30 ปี ขออาสา เป็นตัวแทนคนกรุงเทพ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ผมขอเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมเดินทางแห่งความหวัง ครั้งสำคัญครั้งนี้ เพื่ออนาคตลูกหลานเรา เราจะคืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพ
ผมเชื่อมั่น เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้ ครับ