คำต่อคำ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในการอภิปรายวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

คำต่อคำ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในการอภิปรายวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

11 ก.ย. 2566
ท่านประธานที่เคารพ กระผม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนอื่นผมขอถือโอกาสนี้นับหนึ่งด้วยการแสดงความยินดีกับท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรีทุกท่าน ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาล ซึ่งนั่นหมายความว่า นับจากนี้กระผม และพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านตามวิถีทางรัฐสภา

ท่านนายกฯ เศรษฐา ประกาศว่า รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลของประชาชน กระผมก็ขอถือโอกาสนี้เช่นเดียวกัน ประกาศว่า พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านของประชาชน และจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินเต็มกำลังความสามารถ ก่อนที่จะเริ่มต้น พูดถึงนโยบายรัฐบาลขอแสดงจุดยืนสั้นๆ นิดเดียว ขอแสดงจุดยืนต่อท่านประธานสภาในการทำหน้าที่ 2 ข้อ

ข้อ 1 ขออนุญาตเรียนว่าพวกกระผมจะไม่ค้านทุกเรื่อง แต่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ตรวจสอบรัฐบาลแทนประชาชน และรักษาประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน

ประการที่ 2 ในการทำงานร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น กระผมขอเรียนว่า กระผมและประชาธิปัตย์ จะถือหลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง อะไรที่เป็นจุดยืนสำคัญของพรรค เช่น จะไม่แตะมาตรา 112 แม้ว่าวันหนึ่งอาจจะมีพรรคร่วมฝ่ายค้านใดได้เสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภา ผมบอกล่วงหน้าเลยว่าประชาธิปัตย์จะไม่สนับสนุน

แต่ขณะเดียวกันก็ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานว่า พวกกระผมพร้อมทำหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรคเต็มกำลังความสามารถ ที่ผมต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก่อนก็เพราะเหตุว่า เพื่อป้องกันความไม่เข้าใจที่อันอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต นำไปสู่ข้อครหาว่าฝ่ายค้านแตกกัน ซึ่งเกรงว่าสุดท้ายจะทำให้น้ำหนักในการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลแทนประชาชนขาดน้ำหนักไปโดยไม่จำเป็น

สำหรับนโยบายที่ท่านนายกฯ ได้แถลงไปเมื่อสักครู่นี้ ผมกราบเรียนเลยครับ ผมดูละเอียด สอง-สามรอบ ดูทุกตัวอักษร ทบทวนไปทบทวนมา มีความเห็นเหมือนสาธารณชนทั่วไป แล้วก็มีความเห็นเช่นเดียวกับเพื่อนสมาชิกหลายคนที่อภิปรายว่า มาตรฐานของนโยบายรัฐบาลชุดนี้ พูดตรงๆ ขออภัยท่านนายกฯ นะครับ “สวนทางกับความสูงท่านนายกฯ จริงๆ”

การตั้งโจทย์ประเทศ ก็คลุมเครือ ตัวนโยบายบอกตรงๆ เลื่อนลอย ขาดความชัดเจน แล้วก็ถ้าใครอ่านจริงๆ ให้ครบ จะพบว่าฟุ่มเฟือยด้วยวาทกรรม วกไปวนมา กลายเป็นนโยบายน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ที่สำคัญอีกอันหนึ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นตรงกันก็คือนโยบายที่ท่านนายกฯ แถลงเมื่อสักครู่ กับนโยบายตอนหาเสียง “หนังคนละม้วน” กลายเป็น “นโยบายไม่ตรงปก” อย่างที่วิจารณ์กัน

ผมขอถือโอกาสนี้ ใช้เวลาอันจำกัด สะท้อนความเห็นแทนประชาชน ในการทักท้วง ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และเสนอแนะแบบสร้างสรรค์ ต่อนโยบายที่รัฐบาลนี้ได้แถลง จะให้ความเห็นไม่เกิน 10 นโยบาย สั้นๆ เร็วๆ

นโยบายแรก เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 ตอนหาเสียง อึกทึกครึกโครม สร้างความหวังให้เด็กรุ่นใหม่ที่เขากำลังจะเรียนจบปริญญาตรีว่าเที่ยวนี้ภายใต้รัฐบาลนี้ ถ้าเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งจะได้เงินเดือน ป.ตรี 25,000 วันนี้ นโยบายนี้หายไปไหนแล้วครับ กลายเป็น “นโยบายนินจา” อยู่ๆ ก็หายไปแบบไร้ร่องรอย พอท่านได้เป็นรัฐบาล นี่คือคำถาม หรือท่านคิดว่านโยบายนี้ตอนหาเสียงท่านสัญญาไว้ปี 70 ยังไงท่านก็อยู่ไม่ถึงก็เลยไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ ท่านสัญญาแล้วท่านต้องทำนะครับ ผมขอทวงสัญญานี้แทนน้อง ๆ รุ่นใหม่ทั่วทั้งประเทศที่เขากำลังจะจบการศึกษา ท่านนายกฯ ต้องตอบเรื่องนี้ครับ

นโยบายที่ 2 ค่าแรงขั้นต่ำ ท่านคงจำได้ 600 วันต่อวัน นี่ก็นินจาตัวที่ 2 ตอนหาเสียง หลายฝ่ายทักท้วงกัน บอกว่า ถ้าขึ้นค่าแรงทันที 600 บาทต่อวันขั้นต่ำ เป็นห่วงเอกชน SME โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่เขามีคนงาน 5 คน 7 คน จะเจ๊งกันหมด เพราะรับต้นทุนที่สูงขึ้นแบบกระทันหันไม่ไหว แล้วสุดท้ายถ้าต้นทุนสูงขึ้นก็ต้องไปผลักภาระให้กับราคาสินค้าผลิตผล แล้วกรรมก็ไปตกอยู่กับผู้บริโภคคือประชาชน คนไทยทั้งประเทศในที่สุด SME ก็เจ๊ง ผู้บริโภคก็เจ๊ง แต่ท่านไม่ฟัง เพราะว่าตอนนั้นกำลังหาเสียง กำลังโกยคะแนนกับผู้ใช้แรงงาน แล้วก็สุดท้ายท่านก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นค่าแรง 600 บาท ต่อวัน ปี 70 แต่พอมาดูนโยบายที่ท่านแถลงเมื่อกี้ อย่าว่าแต่ปี 70 เลยครับ ไม่มีเลยครับ หายวับไปกับตา นโยบายเหลือแค่เขียนไว้ในหน้า 8 แค่บรรทัดเดียว บอกว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม คือสิ่งที่จะทำ รวมทั้งสามารถทำให้ผู้ใช้แรงงานเข้าถึงสวัสดิการที่เหมาะสมแค่นี้ครับ แล้วค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ปี 70 อยู่ไหนครับ

นโยบายที่ 3 นี่ก็ความหวังของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ขีดเส้นใต้ “ทำทันที” ล่องหนไปอีก 1 นโยบาย รถไฟฟ้าไปจอดหลับอยู่สถานีไหนครับ จนนักข่าวทนไม่ไหวตามไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ท่านอึกอัก บอกว่าอีก 2 ปีจะทำ ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยท่านก็ผิดคำพูดไปแล้ว 1 คำ แต่อย่าผิดคำพูดคำที่ 2 ต่อไป ท่านต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ คำถามคือ เอาเงินที่ไหนมาทำ จะต้องเอาเงินของประเทศไปชดเชยให้บริษัทเอกชนหรือไม่ อย่างไร อันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลและท่านนายกฯ ต้องตอบ

นโยบายที่ 4 นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ท่านศิริกัญญา พูดไปหน่อยหนึ่งเมื่อกี้ ใช้คำว่า เติมเงินให้ทุกครอบครัว ที่รายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท ทุกเดือน ขีดเส้นใต้เส้นที่ 2 “ทุกเดือน” วันนี้หายเข้ากลีบเมฆไปแล้วครับ ผมไม่มีตัวเลขชัดเจน เพราะไม่ใช่นโยบายของพวกผม แต่ให้นักวิชาการเขาไปดูคร่าวๆ อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิดนะครับ บอกว่าครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือนนี้ เกือบ 20 ล้านครอบครัว ถ้าท่านจะทำนโยบายนี้อย่างที่พูด ท่านต้องเติมเงินเดือนนึงหลักแสนล้านครับ ท่านจะเอาเงินมาจากไหน หรือสุดท้ายกลายเป็นนโยบายล่องหน อย่างที่ผมเรียน นี่ก็คืออีกข้อหนึ่งที่รัฐบาลต้องชี้แจง

นโยบายที่ 5 เรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตอนหาเสียง ท่านบอกว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม วันนี้ไม่มีสักคำเลยครับที่ท่านนายกฯ แถลงเมื่อกี้ แถมถูกแปลงโฉมจากผู้ว่าราชการที่มาจากการเลือกตั้งไปเป็น “ผู้ว่าซีอีโอ” เปลี่ยนจากกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ไปเป็นรวบอำนาจมาสู่การปกครองส่วนภูมิภาค ย้อนยุคไป 20 ปี เรื่องนี้ สส. สรรเพชญ บุญญามณี จะอภิปรายต่อไป

อย่างน้อยผมหยิบมา 5 นโยบายเป็นตัวอย่าง ที่พูดมาเพื่อจะบอกว่าสุดท้าย ผมขอใช้คำว่า “แค่ลมปากตอนหาเสียง” ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ป.ตรี 25,000 ค่าแรง 600 บาท ขั้นต่ำต่อวัน รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เติมเงินให้ได้ครัวละ 20,000 ต่อเดือน จนถึงเลือกตั้งผู้ว่าราชการในจังหวัดที่มีความพร้อม เพราะท่านไม่เขียนไว้ในนโยบายที่ท่านแถลง นโยบายศักดิ์สิทธิ์เพราะผูกพันรัฐสภาที่ท่านไม่ทำไม่ได้ ผมต้องพูด เพราะกระผมมีหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินแทนประชาชน และต้องพูดเพื่อให้รัฐบาลได้ตระหนักครับว่า หาเสียงได้ แต่ต้องมีความรับผิดชอบ อย่าให้เหมือนตอนไล่หนู ตีงูเห่า สุดท้ายทั้งหนู ทั้งงูเห่า มาอยู่ด้วยกัน แล้วก็กลายเป็นแค่เทคนิคการหาเสียง หรือแค่นโยบายการละคร สิ่งนี้ประชาชนไม่ต้องการเห็น ต้องการยกระดับมาตรฐานการหาเสียงของพรรคการเมืองให้สูงกว่านี้ พูดแล้วต้องทำ อย่างที่ประชาชนเขาคาดหวัง

นโยบายต่อไปครับ นโยบายเรื่องราคาพืชผลการเกษตร ท่านนายกฯ ไปพูดที่ขอนแก่นชัดครับ รัฐบาลนี้จะไม่มีนโยบายจำนำข้าว กับจะไม่มีนโยบายประกันรายได้เกษตรกร ผมกราบเรียนเลยครับ ไม่มีนโยบายจำนำข้าวดีแล้วครับ เพราะนั่นคือนโยบายและโครงการที่เป็นต้นเหตุการทุจริต คอร์รัปชั่น ท่านประธานทราบมั้ยครับ นโยบายจำนำข้าวจนวันนี้สร้างภาระหนี้ให้ประเทส 884,000 ล้านบาท จนวันนี้ประเทศไทยยังค้างชำระหนี้โครงการนี้อยู่อีก 254,000 ล้าน ตัวเลขกลมๆ 250,000 ล้าน คนที่จะต้องมาใช้ต่อไปรัฐบาลถัดจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วก็มันเหมือนกรรมมีจริง … (มีผู้ประท้วง)

… ผมกำลังพูดถึงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่ท่านนายกฯ บอกว่าจะไม่ทำจำนำข้าว ผมบอกว่าดีแล้ว และผมพร้อมสนับสนุนเพราะจำนำข้าวรัฐบาลนี้ยังต้องมาใช้นี้อีก 250,000ล้าน มีเท่านี้ครับ แต่คำถามของผมก็คือถ้าท่านนายกฯ ไม่ทำจำนำข้าว แล้วก็ไม่ทำประกันรายได้เกษตรกร ผมเรียนถามนั่นแปลว่าต่อไปนี้ ข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด ไม่มีเงินส่วนต่างแล้วใช่ไหมครับ นั่นแปลว่าถ้าวันหนึ่งราคาพืชผลการเกษตรเหล่านี้ราคาตก อะไรจะกลายเป็นตัวช่วยให้เกษตรกรพอยังชีพอยู่ได้ วันนี้ไม่เป็นไรครับ ตอนผมอยู่กระทรวงพาณิชย์ก่อนออกมา ข้าวความชื้นไม่เกิน 15% ข้าวเปลือกเจ้าไปเกวียน ละ 12,000-13,000 แล้วครับ ข้าวเปลือกเหนียว 14,800 – 15,800 ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 – 16,600 มัน 3 บาทกว่า ปาล์ม 5 – 6 บาท ข้าวโพด 11 บาท ยกเว้นยางที่ราคาตก แต่ถ้าไม่มีประกันรายได้ เงินส่วนต่างชาวสวนยางจะทำอย่างไร แล้ววันข้างหน้าถ้า 3-4 ตัวข้างหน้าที่ผมพูดตก ใครจะดูแลเกษตรกรด้วยวิธีไหน

ท่านนายกบอกว่าจะพักหนี้เกษตรกรแทน แต่พักหนี้ผมไม่ค้านครับ แต่พักหนี้คือแค่หยุดต้นกับหยุดดอกหมดเวลาหยุดต้นหยุดดอกเมื่อไหร่ ดอกกับต้นมันก็มารวมกันกลายเป็นหนี้เดินต่อ สุดท้ายพักหนี้แค่ต่อลมหายใจให้เกษตรกรชั่วคราว เรื่องนี้ สส. สมบัติ ยะสินธุ์ จะมาอภิปรายต่อไป

นโยบายถัดมาครับ Digital wallet 10,000 บาท 560,000 ล้าน สมาชิกอภิปรายไปบ้างแล้ว ผมไม่ลงลึกแล้วไม่ขอวิจารณ์ตรงนี้ แต่ย้ำ รัฐบาลต้องทำ เพราะเป็นสัญญาที่หาเสียงไว้ แต่มันมีคำถาม 2 ข้อ 1. ทำอย่างไร กับ 2. เอาเงินมาจากไหน ทำอย่างไรสังคมสับสน เดี๋ยวบอกว่าใช้แอพเป๋าตังค์ เดี๋ยวบอกว่าใช้บล็อกเชน เดี๋ยวบอกว่าอาจจะมีบริษัทมารับทำ สุดท้ายบอกไม่มีบริษัทรับทำ แล้วเอาเงินมาจากไหน 1. งบประมาณแผ่นดินหรือเปล่า ถ้างบประมาณแผ่นดิน ผมเรียนท่านประธานเลย โครงการนี้ใช้ 560,000 ล้านบาท ก่อนพ้นจากรัฐบาล ผมถามในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณตอบชัด ยังเหลือเงินเท่าไหร่สำหรับรัฐบาลหน้าที่จะทำนโยบาย ผู้อำนวยการสำนักงบตอบ 200,000 ล้าน แล้วนี่ตั้ง 560,000 ต่อให้เอาเงินงบประมาณ 67 ทั้งปีมาทำให้หมด ไม่ต้องทำโครงการอื่นเลยที่ท่านแถลงทั้งเล่มนี่ ก็ไม่พอ แล้วท่านจะเอาเงินมาจากไหน

คนในรัฐบาลบอกไม่กู้ถ้าไม่กู้ก็ไม่เป็นไร รัฐมนตรีช่วยคลังบอกพูดแย้มๆ คล้ายๆ กับว่าจะเอาเงินอนาคต ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมาใช้ นั่นได้ก็หลักแค่หมื่นล้าน หรือซักแสนล้าน แต่ 5.6 แสนล้าน ท่านจะเอามาจากไหน แล้วจะใช้เงินตามมาตรา 28 มาใช้ ท่านต้องตั้งงบใช้หนี้ในอนาคตอีกมั้ยครับ

นี่คือสิ่งที่ต้องขออนุญาตถามเพราะ 2-3 วันก่อน คนในรัฐบาลบอกว่ายังไม่ได้ข้อสรุป แปลว่าอะไร แปลว่า Digital wallet 10,000 บาทนี้ กลายเป็นนโยบาย “ไปตายเอาดาบหน้า” สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบทำให้สำเร็จ และที่ขอเตือนอย่าให้นโยบายนี้กลายเป็นการทุจริตเชิงนโยบายเกิดขึ้นเด็ดขาด

นโยบายถัดมาที่ขอพูดถึงนโยบายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันนี้รัฐบาลเขียนไว้ในนโยบายเร่งด่วน ผมเรียนครับ กระผมและพรรคประชาธิปัตย์ของผมทั้งหมดที่นั่งอยู่ข้างหลังนี้ พร้อมให้การสนับสนุนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มีข้อสังเกตเพราะนโยบายรัฐบาลเขียนไว้ในเล่มนี้ ท่านประธานค่อย ๆ ฟังนะครับ บอกว่าเพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดีครับ ผมสนับสนุน และตรงนี้ครับ ไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ นี่ก็ดีครับ พวกผมสนับสนุนเต็มร้อย แต่คำว่าไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์แปลว่าอะไรครับ แปลว่าไม่แก้ไขในหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ หมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ มี 19 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 6 ถึงมาตรา 24 ผมเห็นด้วย ไม่แก้หมวด 2 แต่มันมีคำถาม แปลว่าหมวด 1 แก้ได้ใช่หรือไม่ โดยนโยบายรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่มีนโยบายไม่แก้หมวด 1 หมวด 1 มี 5 มาตรา ผมไม่ขอเสียเวลาหยิบยกรัฐธรรมนูญมาให้ท่านประธานดู แต่ว่ามาตราที่ต้องเอ่ยตรงนี้มี 2 มาตรา มาตรา 2 ระบุว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก้ได้เหรอครับ

ที่สำคัญอีกมาตรานึง มาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ เขียนว่าไงครับ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ แปลว่าตราบเท่าที่มีรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 และหมวด 1 คงไว้ ใครจะมาแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ ทำไมนโยบายรัฐบาลไม่กล้าระบุให้ชัด ไม่แก้ทั้งหมด 1 หมวด 2 ครับ ท่านเกรงใจใครครับ เกรงใจพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหน และอย่าคิดว่าการแบ่งแยกดินแดนไม่มีไม่เกิด 2-3 วันก่อน มีผู้ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญแล้วครับ มีความพยายามในการทำประชามติแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นความบกพร่องของคนเขียนนโยบาย เป็นความบกพร่องที่ท่านนายกฯ แถลงไว้เมื่อกี้ แก้ซะครับ ผมให้โอกาส แต่ถ้ายังยืนยัน หมวด 1 แก้ได้ พวกผมต้องรบกับท่านต่อไปในอนาคตเมื่อเรื่องเข้าสภา

นโยบายต่อมาครับ การทุจริตคอรัปชั่น เรื่องนี้สำคัญและผมเป็นห่วงจริงๆ เป็นห่วงว่ารัฐบาลเอาจริงแค่ไหน เพราะทั้งเล่มท่านประธานไปอ่านให้ละเอียดครับ อยู่ตรงไหนครับนโยบายป้องกันปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ผมค้น 2 รอบไปซุกอยู่ครึ่งบรรทัด ซุกอยู่ในนโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชน บอกว่าการป้องกันและขจัดการทุจริตที่ประชาชนมีส่วนร่วมแค่นี้ครับ แต่อย่างไรผมก็ไม่ติเรือทั้งโกลน แต่รัฐบาลต้องตระหนักว่าจะต้องไม่ทำเหมือนอดีต เพื่อรักษาประชาธิปไตยและรักษาประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน เพราะรัฐบาลท่านในอดีต เคยถูกยึดอำนาจมา 2 ครั้ง เพราะเหตุแห่งการทุจริตและการออกกฎหมายล้างการทุจริตจนคนออกมาเป็นล้าน แล้วในที่สุดนำมาสู่การยึดอำนาจสูญเสียประชาธิปไตย ท่านจะต้องไม่ทำประวัติศาสตร์ให้กลับไปซ้ำรอยเดิมอีก นี่คือสิ่งที่ผมย้ำ และผมให้กำลังใจ ถ้าท่านตั้งใจปราบปรามการทุจริตจริงๆ ผมคนหนึ่งจะร่วมด้วยครับ ขอบคุณครับในเรื่องการจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่น … (มีผู้ประท้วง)

… สุดท้ายครับท่านประธานครับ นโยบายที่ท่านนายกฯ ประกาศชัดเจนว่า จะฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่มีความเข้มแข็ง ผมกราบเรียนกับท่านประธานครับ รัฐบาลข้ามขั้ว แม้จะเปลี่ยนชื่อเป็นรัฐบาลสลายขั้ว สลายความขัดแย้งไม่ได้หรอกครับ มีแต่หลักนิติธรรมที่เข้มแข็งเท่านั้น ที่จะทำให้ประเทศของเรามีความหวัง หลักนิติธรรมคืออะไร หลักนิติธรรมคือทุกคนเท่าเทียมกัน ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ว่าคนจนคนรวย คนมีอำนาจคนไม่มีอำนาจไม่เว้นแม้แต่นักโทษ นักโทษรวย นักโทษจน นักโทษเคยมีอำนาจ นักโทษไม่เคยมีอำนาจ นักโทษทุกคนก็ย่อมเท่าเทียมกันและย่อมต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้บังคับใช้กฎหมายโดยเสมอกัน นโยบายนี้คือจุดเริ่มต้นของความหวัง นโยบายนี้จะศักดิ์สิทธิ์เป็นจริงได้ อยู่ที่ตัวท่านนายกฯ และรัฐบาล

การพระราชทานอภัยโทษ ที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 เล่ม 140 ตอนที่ 40 ข ระบุชัด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษต้องสำนึก และรัฐบาลก็ต้องสำนึกว่า

ผู้ได้รับ พระราชทานอภัยโทษ 1. ยังเป็นผู้มีความผิด ประการที่ 2 หากมีคำพิพากษาศาลสถิตยุติธรรมในคดีใดเกิดขึ้นอีกว่ามีการกระทำความผิด ก็ยังจะต้องรับโทษใหม่ในอนาคต จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนักว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายโดยหลักนิติธรรม เท่าเทียมเสมอหน้าเช่นเดียวกับคนไทยทุกคนต่อไป ถ้ารัฐบาลก่อนหน้าทำไม่ถูก ท่านก็ทำซะให้ถูกครับ อย่าปล่อยเลยตามเลย อย่าสร้างมาตรฐานใหม่เหยียบย่ำหัวใจคนรักความยุติธรรมและรักความซื่อสัตย์สุจริตให้ต้องหมดกำลังใจ

ผมเห็นว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสสำคัญของรัฐบาล ที่จะทำให้วลีที่เราพูดกันติดปากวลีหนึ่งที่บอกว่า “คุกมีไว้แค่ขังคนจนกับคนไม่มีอำนาจมลายหายไปได้ โดยนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ เศรษฐา ทวีสิน” ผมขอให้นายกรัฐมนตรีรักษาคำพูด ยึดมั่นในสิ่งที่ได้แถลงผูกพันต่อรัฐสภาไป และขอให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลประสบความสำเร็จ ในการเร่งฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งให้เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็วนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอบคุณครับท่านประธานครับ