ประวัติพรรคประชาธิปัตย์
คำว่า “ประชาธิปัตย์” หรือ Democrat หมายถึง “ประชาชนเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย”
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party)ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2489 เป็นพรรคการเมืองที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย และยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,874,860 คน และมีสาขาพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 195 สาขา นับแต่วันก่อตั้งพรรคจนถึงปัจจุบันมีหัวหน้าพรรคมาแล้วรวม 7 คน ในจำนวนนี้ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย 4 คน คือ พันตรีควง อภัยวงศ์ ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าพรรคคนแรก ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 สมัย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 สมัย นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 1 สมัย
68ปี ประชาธิปัตย์เคียงคู่ประชาชน บนวิถีทางประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมือง ที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติพรรคการเมืองโดยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 มีพันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็น เลขาธิการพรรคคนแรก ตลอดระยะเวลา 65 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำแนกได้เป็น 5 ยุค คือ
ยุคที่หนึ่ง (พ.ศ. 2489-2501) : ยุคแห่งการสร้างพรรคและสร้างประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
ในระยะแรกหลังการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยสภาพการเมืองของประเทศไทยมีความผันผวนเนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้น
การดำเนินการทางการเมืองอยู่ในวงแคบ พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการดำเนินการทางการเมืองที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาล นายปรีดี พนมยงค์
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลรับเชิญของคณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยมีพันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลแห่งกลุ่มจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ระหว่างปี 2501-2511 บทบาททางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ได้ยุติลงชั่วคราว เมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการยึดอำนาจ
การปกครอง และเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จในปี 2501
ยุคที่สอง (พ.ศ. 2511-2519) : ยุคแห่งการฟื้นฟูพรรคและเชิดชูประชาธิปไตย
ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511ทางพรรคฯ ได้มีการดำเนินการทางการเมืองที่สำคัญ ดังนี้
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2518
-
โดยมี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายค้านรัฐบาล หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2519 โดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
ยุคที่สาม (พ.ศ. 2522-2533) : ยุคแห่งการปรับปรุงนโยบายและเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง
ในปี 2521 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 22 เมษายน 2522 นับเป็น
การเข้าสู่ยุคที่สามของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทางพรรคฯ ได้มีการดำเนินการทางการเมืองที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาล พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (1, 2, 3, 4, 5)
-
ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
ยุคที่สี่ (ปลายปี พ.ศ. 2533-2544) : ยุคแห่งการเป็นรัฐบาลของประชาชนและฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ
ในวันที่ 12 ธันวาคม 2533 พรรคประชาธิปัตย์ได้ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ หลังจากนั้นได้เกิดผันผวนทางการเมืองอย่างรุนแรง นำไปสู่เหตุการณ์ยึดอำนาจของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.)” และเกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ในที่สุด
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางการเมืองในยุคที่สี่นี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามามีบทบาทต่อต้านเผด็จการเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชน จนกระทั่งเหตุการณ์สงบและนำไปสู่การเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2535 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด จำนวน 79 คน และได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายชวน หลกีภัย เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ได้เ้ข้า้บริหารประเทศเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง จนถึงกลางปี 2538 เหตุการณ์ทางการเมืองได้เกิดพลิกผันอีกครั้ง และนำไปสู่การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ในครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้ง จำนวน 86 คน และดำเนินการทางการเมืองเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา พรรคได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ ติดตามตรวจสอบการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลจนในที่สุดนายบรรหาร ศลิปอาชา ต้องประกาศยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539
หลังจากนั้น พรรคความหวังใหม่ โดยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศเป็นระยะเวลา 11 เดือนเศษ ในปี 2540 ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ ที่เกิดจากความล้มเหลวในการปกป้องค่าเงินบาทจนในที่สุด พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้นต้องไปกู้เงินจาก “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)” เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ จึงประกาศลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์โดยนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของชาติในครั้งนั้น เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 ได้ปฏิบัติภารกิจจนครบวาระของรัฐบาลในปลายปี 2543 และจัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนมกราคม 2544
ยุคที่ห้า (พ.ศ. 2544-2551) : ยุคแห่งการต่อสู้เผด็จการรัฐสภา และต่อต้านการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน
หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยนำโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาลบริหาร
ประเทศ โดยมีการยุบรวมพรรคการเมืองที่มีขนาดเล็กกว่า อาทิพรรคความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรมเข้าด้วย ทำให้พรรคไทยรักไทยมีเสียงในสภาจำนวน 294 เสียง ต่อมาภายหลังมีการยุบรวมพรรคชาติพัฒนาเข้าด้วยอีกทำให้พรรคไทยรักไทยมี ส.ส. ถึง 319 คน เมื่อไปร่วมกับพรรคชาติไทย 24 คน และพรรคความหวังใหม่ที่เหลืออีก 1 คน ทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงในสภามากถึง 344 เสียง คุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. เพียง 128 คน ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อสู้กับระบอบเผด็จการรัฐสภาอย่างเข้มแข็ง เพื่อคัดค้านการใช้กลไกของรัฐสภาในการออกกฎหมายและต่อต้านการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมและเพื่อเอื้อผลประโยชน์ต่อธุรกิจของครอบครัวและพวกพ้อง จนเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชน กระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548
การเลือกตั้งในปี 2548 ถือเป็นช่วงที่พรรคไทยรักไทยมีความฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งครั้งนั้นถูกครอบงำทั้งโดยอำนาจรัฐและอำนาจเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในขณะนั้น ถูกตั้งข้อ สังเกตในความไม่เ่ป็นกลาง และเอื้อประโยชน์ใ์ห้แ้ก่พรรคการเมืองบางพรรคหลังการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้ง 377 คน พรรคประชาธิปัตย์ 96 คน พรรคชาติไทย 25 คน พรรคมหาชน 2 คน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น คือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคพรรคประชาธิปัตย์ได้เลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค
รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2548 นอกจากจะคุมเสียงเบ็ดเสร็จในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ยังพยายามดึงสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนให้มาเป็นพวกเพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล มีการแทรกแซงสื่อสารมวลชน องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในคดีต่างๆ อาทิ คดีซุกหุ้น คดียุบพรรคไทยรักไทย
พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ด้วยความเข้มแข็ง ต่อสู้กับอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบ
อย่างกล้าหาญ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศยุบสภาเพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่กองทุนเทมาเส็ก และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549
การเมืองในช่วงดังกล่าวมีความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างหนักคดีการเลือกตั้งทุจริตของพรรคไทยรักไทยและคดีการเลือกตั้งในปี 2548
เกิดความไม่เป็นธรรมทั่วประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้ประท้วงการเลือกตั้งด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ต่อสู้ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่พรรคไทยรักไทยได้ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง จนในที่สุดศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้ กกต. ทั้ง 3 คนมีความผิดทางอาญา ลงโทษจำคุก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะและให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่แล้วในที่สุดก็ได้เกิดการรัฐประหารขึ้น
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งมี พลเอก สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า ได้จัดตั้งรัฐบาลโดยมีพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศส่วน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ต้องสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ กระทั่งตกเป็นนักโทษในคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองจนปัจจุบัน
เมื่อรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ บริหารประเทศได้ 1 ปีเศษ ก็ได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคไทยรักไทยซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินและมีคำพิพากษาให้ยุบพรรคได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน และได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยจำนวน ส.ส.232 คน พรรคพลังประชาชนได้ร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ จัดตั้งรัฐบาลขึ้นบริหารประเทศ โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีจำนวน ส.ส. 164 คน เป็นฝ่ายค้านการบริหารประเทศโดยรัฐบาลที่เป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่า ถูกต่อต้านจากประชาชนเป็นวงกว้างจนเกิดการรวมตัวขึ้นเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อมานายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 คน ต้องพ้นจากตำแหน่งไป พร้อมๆ กับการถูกยุบพรรคพลังประชาชนอีกครั้งด้วยคดีทุจริตการเลือกตั้ง แล้วเปลี่ยนไปใช้ชื่อพรรคเพื่อไทย
เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผันผวนทำให้เกิดการแตกแยกอย่างรุนแรงในประเทศ ความไม่ชอบธรรมในการบริหารบ้า้นเมืองของรัฐบาลทำให้เ้กิด วิกฤตนึ้กับประเทศไทยอีกครั้ง แต่ในที่สุดเมื่อพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนั้นประสบปัญหาจึงได้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ พรรคประชาธิปัตย์โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 ธันวาคม 2551จึงนับเป็นการยุติบทบาทการเป็นฝ่ายค้าน 8 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์และกลับเข้าเป็นรัฐบาลของประชาชนเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติในภาวะวิกฤติ มุ่งมั่นพัฒนาบ้านเมือง และสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในวันนี้
จวบจนมีการตัดสินใจยุบสภาของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 และมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พรรคได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ 44 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 115 คน รวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 ระบบ 160 คน
รายชื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นายควง อภัยวงศ์
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 1
พ.ศ.2489-15 มี.ค.2511

ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 2
2511-26 พ.ค.2522

พ.อ.ถนัด คอมันตร์
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 3
26 พ.ค.2522-3 เม.ย.2525

นายพิชัย รัตตกุล
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 4
3 เม.ย.2525-26 ม.ค.2534

นายชวน หลีกภัย
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 5
26 ม.ค.2534-6 พ.ค.2546

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 6
6 พ.ค.2546-15 มี.ค.2548

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 7
15 มี.ค.2548-24 มี.ค. 2562

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 8
15 พ.ค. 2562-ปัจจุบัน
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
1. | ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช | 6 เมษายน 2489 – 16 กันยายน 2491 | |
2. | นายเทพ โชตินุชิต | 17 กันยายน 2491 – 25 มิถุนายน 2492 | |
3. | นายชวลิต อภัยวงศ์ | มิถุนายน 2492 – 29 พฤศจิกายน 2494 | |
4. | นายใหญ่ ศวิตชาติ | 30 กันยายน 2498 – 20 ตุลาคม 2501 | |
5. | นายธรรมนูญ เทียนเงิน | 26 กันยายน 2513 – 6 ตุลาคม 2518 | |
6. | นายดำรง ลัทธิพิพัฒน์ | 13 พฤศจิกายน 2518 – 6 ตุลาคม 2521 | |
7. | นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ | 3 กุมภาพันธ์ 2522 – 26 พฤษภาคม 2522 | |
8. | นายมารุต บุนนาค | 26 พฤษภาคม 2522 – 3 เมษายน 2525 | |
9. | นายเล็ก นานา | 3 เมษายน 2525 – 5 เมษายน 2529 | |
10. | นายวีระ มุสิกพงศ์ | 5 เมษายน 2529 – 10 มกราคม 2530 | |
11. | พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ | 10 มกราคม 2530 – 10 สิงหาคม 2543 | |
12. | นายอนันต์ อนันตกูล | 17 สิงหาคม 2543 – 6 พฤษภาคม 2546 | |
13. | นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ | 6 พฤษภาคม 2546 – 10 กุมภาพันธ์ 2548 | |
14. | นายสุเทพ เทือกสุบรรณ | 5 มีนาคม 2548 – 20 กรกฎาคม 2554 | |
15. | นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน | 2 กันยายน 2554 – 13 ธันวาคม 2556 | |
16. | นายจุติ ไกรฤกษ์ | 31 มกราคม 2557 – 24 มี.ค. 2562 | |
17. | นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน | 15 พ.ค. 2562 – ปัจจุบัน |
จำนวน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ พ.ศ.2500-2562
วันเลือกตั้ง | กทม. | กลาง | ใต้ | เหนือ | อีสาน | บัญชีรายชื่อ | รวม | ส.ส.ทั้งสภา |
26 ก.พ. 2500 | 4 | 1 | 6 | 7 | 12 | – | 30 | 160 |
15 ธ.ค. 2500 | 11 | 4 | 8 | 13 | 3 | – | 39 | 160 |
30 ม.ค. 2501 | 12 | – | – | – | 1 | – | 13 | 26 |
10 ก.พ. 2512 | 21 | 4 | 9 | 13 | 8 | – | 55 | 219 |
26 ม.ค. 2518 | 23 | 12 | 15 | 17 | 5 | – | 72 | 269 |
4 เม.ย. 2519 | 28 | 17 | 29 | 15 | 24 | – | 114 | 279 |
22 เม.ย. 2522 | 1 | 3 | 15 | 7 | 9 | – | 35 | 301 |
18 เม.ย. 2526 | 8 | 2 | 25 | 8 | 13 | – | 56 | 324 |
27 ก.ค. 2529 | 16 | 10 | 36 | 10 | 28 | – | 100 | 347 |
24 ก.ค.2531 | 5 | 4 | 16 | 6 | 17 | – | 48 | 357 |
22 มี.ค. 2535 | 1 | – | 26 | 5 | 12 | – | 44 | 360 |
13 ก.ย. 2535 | 9 | 9 | 36 | 8 | 17 | – | 79 | 360 |
2 ก.ค. 2538 | 7 | 7 | 46 | 12 | 14 | – | 86 | 391 |
17 พ.ย. 2539 | 29 | 14 | 47 | 21 | 12 | – | 123 | 393 |
6 ม.ค. 2544 | 9 | 18 | 48 | 18 | 5 | 32 | 130 | 500 |
6 ก.พ. 2548 | 4 | 7 | 52 | 5 | 2 | 26 | 96 | 500 |
23 ธ.ค. 2550 | 27 | 35 | 49 | 15 | 5 | 33 | 164 | 480 |
3 ก.ค. 2554 | 23 | 25 | 50 | 13 | 4 | 44 | 160 | 500 |
24 มี.ค. 2562 | – | 8 | 22 | 1 | 2 | 19 | 52 | 500 |